กรณีข่าวว่า มีผู้ใช้บริการสถานีบริการน้ำมันแห่งหนึ่งขอให้สถานีบริการนำถังตวงขนาด 5 ลิตรไปทดสอบปริมาณน้ำมันที่ฉีดออกมาจากหัวจ่ายของสถานีบริการแห่งนี้ แล้วพบว่าน้ำมันที่ทดสอบได้ไม่เต็ม 5 ลิตร
เป็นเรื่องที่ไม่ควรปล่อยผ่าน
ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะยอมรับได้
1. การกำกับดูแลมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิง อยู่ภายใต้ภารกิจของสำนักชั่งตวงวัด กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
กฎกระทรวงกำหนดเครื่องวัดที่อยู่ในบังคับแห่ง พ.ร.บ. ชั่งตวงวัดพ.ศ. 2542 สำหรับมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิง กรณีใช้ถังตวงขนาด 5 ลิตร มีอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด +/- 25 mL สำหรับการตรวจสอบเพื่อรับรอง และ +/- 50 mL สำหรับการตรวจสอบระหว่างใช้งาน
ดังนั้น กรณีสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในคลิปที่เป็นข่าว ซึ่งเป็นมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับใช้งาน มีอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด +/- 50 mLจึงไม่ได้ทำผิดตามกฎหมายดังกล่าว
แต่นั่นไม่ใช่เหตุที่จะให้สถานีบริการใช้วิธียึดเอาเกณฑ์ที่ใช้สำหรับ “เผื่อเหลือเผื่อขาด” นำมาเป็นมาตรฐานในการเติมน้ำมันให้แก่ผู้บริโภคน้อยกว่าจำนวนจริงที่ผู้บริโภคจ่ายเงินซื้อ
เพราะในความเป็นจริง เกณฑ์เผื่อเหลือเผื่อขาดที่ว่า ในความรู้สึกของผู้บริโภคส่วนมาก เชื่อว่า มันมักมีแต่ขาด ไม่ค่อยเหลือให้ผู้บริโภคได้น้ำมันกลับบ้านมากกว่าที่จ่ายเงินซื้อ
สมมุติว่า ขาดไป 50 มิลลิลิตรในทุกๆ 5 ลิตรที่ผู้บริโภคจ่ายค่าน้ำมัน
สมมุติว่า ผู้บริโภคซื้อน้ำมัน 5 ล้านลิตร ถ้าปล่อยให้ขาดกันเป็นปกติก็จะเท่ากับน้ำมัน 50 ล้านมิลลิลิตร หรือคิดเป็นน้ำมันมากถึง 50,000 ลิตร!!!
ที่เปรียบเทียบไม่ได้หมายความว่า ทุกปั๊มจะทำแบบนี้กันหมด แต่เพื่อให้เห็นว่า ไม่ควรปล่อยให้ยึดถือเป็นบรรทัดฐานปกติในการทำธุรกิจ เพราะยุคนี้ เครื่องมือในการชั่งตวงวัดมีประสิทธิภาพแม่นยำกว่าสมัยก่อนเที่ยงตรงสูง สามารถควบคุมให้เที่ยงตรงเทียงธรรมกันได้
2. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพลังงาน เปิดเผยว่า ได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เรื่องปัญหาปั๊มน้ำมันเติมน้ำมันไม่เต็มลิตร
ระบุว่า “ท่านเองก็เป็นห่วงเรื่องนี้มากและได้สั่งการให้หน่วยงานของท่านทำงานจริงจังในเรื่องนี้ เราทั้งสองกระทรวงจะช่วยกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังต่อไป ต้องขอขอบคุณท่านรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ภูมิธรรม เวชยชัย เป็นอย่างยิ่งครับ
อีกเรื่องหนึ่งครับ ผมได้รับรายงานว่าปั๊มน้ำมันบางแห่งที่เรามีการออกตรวจตรากันนั้น มีเจตนาตั้งหัวจ่ายให้จ่ายน้ำมันไม่เต็มลิตรโดยอ้างกฎกระทรวงของกระทรวงพาณิชย์ที่ให้มีอัตรา “เผื่อเหลือเผื่อขาด” ที่ไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย
ผมเลยต้องขออธิบายเพื่อความเข้าใจกฎหมายที่ถูกต้องครับ
คือ กฎหมายมาตราชั่งตวงวัดและกฎกระทรวงที่อ้างถึงกันนั้น ไม่ได้มีเจตนาให้ขายน้ำมันไม่เต็มลิตรนะครับ
แต่กฎหมายเข้าใจว่าหัวจ่ายหรือเครื่องชั่งตวงวัดแต่ละเครื่องอาจมีความผิดเพี้ยนจากการวัดปริมาตรที่แท้จริงได้ ซึ่งเป็นไปตามปกติของเครื่องมือแต่ละเครื่อง จึงกำหนดค่า “เผื่อเหลือเผื่อขาด” ไว้ ซึ่งหมายความว่าปริมาตรที่ขาดหายไปนั้นเป็นผลของความผิดเพี้ยนของหัวจ่ายหรือเครื่องตรวจวัดเองไม่ใช่โดยเจตนาจงใจปรับแต่งหัวจ่ายให้จ่ายน้ำมันไม่เต็มลิตร เช่นนี้จึงไม่เป็นความผิดครับ
แต่หากตามกรณีที่เกิดขึ้นหรือปั๊มไหนจ่ายน้ำมันไม่เต็มลิตรโดยเจตนาจงใจปรับแต่งหัวจ่ายแล้ว จะมาอ้างกฎกระทรวงไม่ได้ และยังเข้าข่ายเป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกงประชาชนที่มีโทษจำคุกถึง 5 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 อีกด้วยนะครับ
ผมจะดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้ต่อครับ” - รัฐมนตรีพลังงานกล่าว
3. กรมการค้าภายในได้เปิดเผยข้อมูลการตรวจสอบที่น่าสนใจ
นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ความคลาดเคลื่อนกรณีที่เป็นข่าว อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เกินร้อยละ 1 หรือ 50 มล. จาก 5 ลิตร ซึ่งเป็นค่าความคลาดเคลื่อนที่สามารถยอมรับได้ตามกฎหมาย (Permissible error) ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดชนิด และลักษณะของมาตรวัดของเหลว รายละเอียดของวัสดุที่ใช้ผลิต อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด และอายุคำรับรอง และเป็นไปตามมาตรฐานสากลที่องค์การชั่งตวงวัดโลก (International Organization of Legal Metrology : OIML) กำหนด
ที่ผ่านมา กรมการค้าภายใน ได้ให้ผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันตรวจสอบหัวจ่ายน้ำมันที่อยู่ในความรับผิดชอบทั้งหมด และรายงานผลการตรวจสอบให้ทราบเป็นประจำทุกเดือน
และได้ส่งเจ้าหน้าที่สายตรวจชั่งตวงวัดไปตรวจสอบซ้ำด้วย
ผลการตรวจสอบตั้งแต่เดือนส.ค. 2566 ถึงปัจจุบัน ได้ตรวจสอบสถานีบริการน้ำมันแล้ว ประมาณ 14,000 แห่ง กว่า 180,000 หัวจ่าย พบว่า ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จำนวน 34 สถานี 281 หัวจ่าย
เป็นกรณีที่ใช้หัวจ่ายน้ำมันที่สิ้นอายุเครื่องหมายคำรับรอง จำนวน 15 สถานี จำนวน 241 หัวจ่าย
เป็นกรณีที่หัวจ่ายน้ำมันคลาดเคลื่อนเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด (ร้อยละ 1) จำนวน 19 สถานี จำนวน 40 หัวจ่าย
อย่างไรก็ตาม พบว่าเป็นการจ่ายน้ำมันเกินกว่าปริมาณที่ควรจะเป็น (คลาดเคลื่อนในด้านบวก) 14 สถานี 29 หัวจ่าย (คิดเป็นร้อยละ 0.016 ของหัวจ่ายที่ตรวจสอบทั้งหมด)
และเป็นการจ่ายน้ำมันขาดจากปริมาณที่ควรจะเป็น (คลาดเคลื่อนในด้านลบ) 5 สถานี 11 หัวจ่าย (คิดเป็นร้อยละ 0.006 ของหัวจ่ายที่ตรวจสอบทั้งหมด)
ทั้งหมดนี้ กรมฯ ได้ดำเนินการผูกบัตรห้ามใช้ เพื่อไม่ให้สามารถใช้หัวจ่ายที่คลาดเคลื่อนนั้นต่อไปได้จนกว่าจะดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง และเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบให้คำรับรองใหม่แล้ว นอกจากนี้ กรณีที่เป็นการจ่ายน้ำมันขาดหรือคลาดเคลื่อนในด้านลบเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดกรมฯ ได้ดำเนินคดีแล้วทุกราย
อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมฯ ได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบหัวจ่ายน้ำมันตามสถานีบริการตั้งแต่ช่วงเดือนพ.ย.2566 ที่ผ่านมา เนื่องจากใกล้เทศกาลปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาชนใช้รถใช้ถนนในการเดินทางกันมากขึ้น โดยเฉพาะตามเส้นทางที่เป็นรอยต่อระหว่างกรุงเทพฯ และปริมณฑลกับต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นสายเหนือ สายตะวันออกเฉียงเหนือ สายตะวันออก หรือสายใต้
ประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านน้ำหนักหรือปริมาณสินค้า หรือด้านราคาสินค้า สามารถร้องเรียนได้ทางสายด่วนกรมการค้าภายใน โทร.1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด หากพบผิดจะดำเนินคดีทุกราย
โดยกรณีที่สถานีบริการน้ำมันจ่ายน้ำมันคลาดเคลื่อนเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด หรือกรณีใช้หัวจ่ายน้ำมันที่สิ้นอายุเครื่องหมายคำรับรอง มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีดัดแปลงหัวจ่ายเพื่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนมีจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 280,000 บาท
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี