จากเหตุการณ์สุดสลด เหตุกราดยิงในห้างสยามพารากอน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายราย เมื่อตำรวจจับกุมคนร้ายได้ พบว่าเป็นเยาวชนชาย อายุ 14 ปี พร้อมอาวุธปืนขนาด 9 มม.ที่ใช้ก่อเหตุ ในเวลานั้น สังคมถกเถียงกันว่า “ความเป็นเด็กและเยาวชน” อาจเป็น “ที่ซ่อนของฆาตกร” ทำให้ไม่ต้องรับโทษ หรือรับโทษที่ไม่สาสมกับความผิดที่เขากระทำก็ได้
และล่าสุด กลุ่มเด็ก 5 คน ซึ่งในจำนวนนั้นมีพ่อเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อเหตุฆ่าป้าบัวผัน หญิงสติไม่สมประกอบ ก่อนนำร่างไปโยนทิ้งบ่อน้ำบริเวณหลังปั๊มน้ำมัน ปตท.เก่า (ร้าง) ข้างโรงเรียนอนุบาลศรีอรัญโญทัย ถนนสุวรรณศร อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ก็ได้ก่อให้เกิดคำถามกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง เกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองเด็กว่า ถึงเวลาที่จะต้องแก้ไขแล้วหรือไม่ สามารถให้เด็กได้รับโทษที่สมควรกับความผิด หรือให้รับโทษเท่าผู้ใหญ่แล้วหรือยัง หยุดใช้คำว่าเด็กเป็นที่กำบังของฆาตกรได้แล้ว จนเกิดแฮชแท็ก #ยกเลิกกฎหมายเยาวชน ติดเทรนด์ยอดนิยมใน X (ทวิตเตอร์) ของไทยอีกด้วย
1) ในเวลาเดียวกัน มีข่าวต่างประเทศรายงานว่า ศาลญี่ปุ่นตัดสินประหารชีวิตเยาวชนรายแรก ก่อคดีฆ่า 2 ศพและวางเพลิง หลังจากญี่ปุ่นแก้ไขกฎหมายปรับลดอายุเยาวชนจาก 20 ปี เหลือ 18 ปี
สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ศาลญี่ปุ่น พิพากษาตัดสินประหารชีวิตชายก่อคดีฆาตกรรม 2 ศพ และวางเพลิงเผาบ้าน ขณะที่เขายังเป็นเยาวชน อายุ 19 ปี จนนับเป็นเยาวชนรายแรกที่ถูกศาลตัดสินประหารชีวิต นับตั้งแต่ญี่ปุ่นได้มีการแก้ไขกฎหมายเยาวชน ปรับลดอายุของเยาวชนที่ต้องได้รับโทษจาก 20 ปี ลงมาเป็น 18 ปี ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนเมษายน 2565
สำหรับเยาวชนรายแรกที่ถูกศาลในญี่ปุ่นตัดสินประหารชีวิตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมา คือ นายยูกิ เอ็นโดะ ปัจจุบันอายุ 21 ปี ซึ่งถูกดำเนินคดีในข้อหาเข้าไปในบ้านของหญิงสาวที่เขาหลงรัก ที่เมืองโคฟุ และได้ฆ่าพ่อแม่ของฝ่ายหญิง อีกทั้งยังจุดไฟเผาบ้านของเธอ เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2564
อีกทั้งนายเอ็นโดะ ยังถูกกล่าวหาว่าทำร้ายพี่สาวของหญิงสาวที่เขาหลงรักด้วย โดยขณะก่อเหตุ นายเอ็นโดะ อายุ 19 ปี และเข้าเรียนหลักสูตรช่วงเย็นที่โรงเรียนมัธยมในมืองโคฟุ
ในระหว่างการต่อสู้คดีในชั้นศาล ทางคณะอัยการชี้ว่า นายเอ็นโดะ มีความสามารถอย่างเต็มที่ และสมควรได้รับโทษประหารชีวิต ขณะที่ทางฝ่ายทนายจำเลยซึ่งพยายามต่อสู้คดี ระบุว่านายเอ็นโดะมีสมรรถภาพของจิตใจลดลง และไม่ควรได้รับโทษประหารชีวิต
อย่างไรก็ตาม ในที่สุด ผู้พิพากษา “มิกามิ จุน” ซึ่งเป็นประธานคณะผู้พิพากษาในคดีนี้ ได้อ่านคำวินิจฉัยของศาลแขวงโคฟุที่ตัดสินประหารชีวิตนายเอ็นโดะว่า เขาได้ก่ออาชญากรรมอย่างเลือดเย็นด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะลงมือฆ่า โดยนายเอ็นโดะได้เตรียมการวางแผนมาเป็นอย่างดีซึ่งแรงจูงใจในการก่อเหตุ มาจากการเอาแต่ใจตัวเอง และไม่มีเหตุผล อีกทั้งจำเลยยังไม่เคยมีการขอโทษอย่างจริงใจกับครอบครัวที่ต้องพบกับความสูญเสีย
ผู้พิพากษามิกามิ จุน ยังกล่าวว่าโทษประหารชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากความร้ายแรงของการก่ออาชญากรรมที่ต้องรับผิดชอบ ขณะที่นายเอ็นโดะ จำเลย ได้ผงกศีรษะสองครั้งเมื่อได้ยินคำตัดสินประหารชีวิต
2) นายธวัชชัย ไทยเขียว กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ตำรวจ ในฐานะอดีตอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และอดีตรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณี 5 โจ๋โหดคดีป้าบัวผัน ซึ่งมีกระแสสังคมเสนอลงโทษเยาวชนที่เจนโลกแก่เกินวัยใจอาชญากรเสมือนฆาตกรผู้ใหญ่ โดยข้อความตอนหนึ่งระบุว่า
สื่อมวลชนเสนอข่าวประเทศญี่ปุ่น เปลี่ยนกฎหมายอายุบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะจาก 20 ปีบริบูรณ์เป็น 18 ปีบริบูรณ์ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ปี 2022 และศาลญี่ปุ่นตัดสินโทษประหารชีวิตชายวัย 21 ปี ที่ได้ก่อคดีฆาตกรรมไว้เมื่อตอนอายุ 19 ปีชาวเนตในไทยจึงแห่เห็นด้วย อยากให้เยาวชนไทยก่อคดีร้ายแรงควรได้รับการพิจารณาโทษเช่นเดียวกับผู้ใหญ่
นายธวัชชัยระบุว่า สำหรับประเทศไทยบุคคลบรรลุนิติภาวะเมื่อมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ หรือจากการสมรส กฎหมายอาญา มาตรา 74 บัญญัติว่า เด็กอายุกว่า 12 ปีแต่ยังไม่เกิน 15 ปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ให้ศาลมีอำนาจที่จะดำเนินการต่างๆ
กับเด็กเยาวชนและครอบครัวดังกล่าวได้
และถ้า “เด็กและเยาวชน” ที่อายุเกิน 15 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึง 18 ปืบริบูรณ์ที่กระทำความผิดทางอาญานั้นจะถูกไปดำเนินคดีที่ศาลเยาวชนและครอบครัว
“นั่นหมายความว่าเด็กอายุเกินกว่า 12 ปีบริบูรณ์แต่ไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ ที่กระทำผิดต้องถูกส่งไปดำเนินคดีที่ศาลเยาวชนฯขณะที่บุคคลที่อายุเกินกว่า 18 ปีบริบูรณ์ที่กระทำผิดทางอาญาต้องถูกพิจารณาคดียังศาลธรรมดาแบบผู้ใหญ่”
อย่างไรก็ตาม คดีอาญาที่เด็กและเยาวชนที่กระทำความผิดที่อยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวนั้น ถ้าศาลเยาวชนและครอบครัว พิจารณาโดยคำนึงถึงสภาพร่างกาย สภาพจิต สติปัญญา และนิสัยแล้ว เห็นว่าในขณะกระทำความผิด หรือในระหว่างการพิจารณา เด็กหรือเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิดมีสภาพเช่นเดียวกับบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ให้มีอำนาจสั่งโอนคดีไปพิจารณาในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีธรรมดาก็ได้ตามมาตรา 97 วรรคสอง พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553
3) นายธวัชชัยได้ระบุอีกว่า “สมัยที่ผมเป็นอธิบดีกรมพินิจฯ จะเรียกเยาวชนที่กระทำความผิดทางอาญา ที่มีพฤติการณ์ร้ายแรง และมีผลกระทบต่อสังคมสูงว่าเป็นพวก “เจนโลก แก่เกินวัย ใจอาชญากร” ซึ่งวางเกณฑ์เอาไว้โดยจะดูจากผลการประเมิน EQ แล้วอยู่ในเกณฑ์ปกติ มีอายุเกิ น15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป พนักงานคุมประพฤติก็จะรายงานความเห็นไปยังศาลเยาวชนและครอบครัวให้ส่งไปพิจารณาคดีไปยังศาลธรรมดา ส่วนจะอนุมัติหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับศาล เพราะศาลเยาวชนฯ จะพิจารณาพิพากษาคดี เสมือนเป็นศาลชำนัญพิเศษ โดยมีผู้พิพากษาสมทบมาร่วมพิจารณาคดีด้วย”
4) กระนั้นก็ตาม นายธวัชชัยเห็นว่า การกำหนดอายุเด็กหรือเยาวชนที่กระทำผิดและรับผิดทางอาญาในปัจจุบันของประเทศไทยนั้น มีความเหมาะสมแล้ว
“สมมุติว่าเราแก้กฎหมายให้เด็กรับผิดและมีโทษเหมือนกับผู้ใหญ่กระทำความผิด และไม่ได้ส่วนลดเรื่องอายุ และสมมุติว่าจะได้ส่วนลดจากการรับสารภาพเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โทษประหารชีวิตก็จะลดเหลือจำคุกตลอดชีวิตหรือ 50 ปี เมื่ออยู่ในเรือนจำก็จะได้รับส่วนลดและสัดส่วนของการเลื่อนชั้นและนำไปสู่การลดโทษตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งสมมุติว่าต้องคำพิพากษาอย่างเต็มที่ 25 ปี ขณะที่เด็กกระทำความผิดมีอายุ 15 ปี เขาก็จะออกจากเรือนจำเมื่อมีอายุ 40 ปี ฉะนั้น เขายังมีช่วงชั้นชีวิตที่เหลือจนถึงวันตายตามค่าเฉลี่ยของอายุก็มากกว่า 30 ปี
คำถามคือ เยาวชนที่เจริญเติมโตในคุกย่อมได้รับการพัฒนาที่ไม่สมวัยเหมือนเยาวชนทั่วไปภายนอก และยังอาจถูกบ่มเพาะวิชาโจรออกมาอีกก็ได้ เราจึงได้ทรัพยากรบุคคลที่เป็นภาระมากกว่าพลัง และหากยิ่งขณะที่เขากระทำความผิดด้วยอายุยังน้อยที่วุฒิภาวะและความเจนโลกที่ไม่ถึงพร้อม และเขาอาจจะยังคิดไม่ได้ว่าการกระทำของเขาในขณะนั้นเป็นความผิด การพ้นโทษออกมาอาจเกิดพฤติกรรมอยากแก้แค้นสังคม และออกมากระทำความผิดที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันทวี สังคมจึงต้องคิดหน้าคิดหลังอย่างรอบคอบถี่ถ้วนถึงผลดีผลเสีย
รัฐควรกำหมดมาตรการป้องกันสอนเด็กด้วยกระบวนการคิดวิเคราะห์ เสริมทักษะ และเสริมพลัง เพื่อให้ได้พฤติกรรมอันพึงประสงค์ที่เหมาะสมตามวัย มีโรงเรียนสอนคู่สมรสและพ่อแม่ในการเตรียมความพร้อมที่จะมีบุตร และดูแลลูกอย่างเหมาะสมตามวัย ดีกว่าหมดปัญญาคิดอะไรไม่ออกก็ออกกฎหมายมาควบคุมสังคม
รัฐอย่าทำตัวเป็นคุณพ่อคุณแม่ช่างรู้ ที่อาศัยแต่ประสบการณ์และความคาดหวังนำทาง เดี๋ยวรัฐนั่นแหละจะเป็นเสมือนพ่อแม่รังแกฉัน ถ้ายังคิดไม่ออก อยากให้รัฐไปดูกระบวนการปรับแก้ไขพฤติกรรมเด็กหรือเยาวชนที่“บ้านกาญจนาภิเษก” ตาก็จะได้สว่าง การไม่ให้ความรัก สวมกอดและไม่ให้อภัยเด็กและเยาวชน จะเป็นเครื่องมือที่ทำร้ายเด็กและเยาวชนไปสู่การพัฒนาไม่สมวัย อันจะเป็นภัยคุกคามชาติบ้านเมืองแบบน้ำซึมบ่อทรายที่กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว”
5) เมื่อส่องดูแนวปฏิบัติของประเทศอื่นๆ พบว่า ที่ ฟิลิปปินส์ ในปี 2562 สภาผู้แทนราษฎรของฟิลิปปินส์ เคยผ่านร่างกฎหมายเสนอให้มีการลดอายุขั้นต่ำของการรับผิดชอบความผิดทางอาญาลง จาก 15 ปี เป็น 12 ปี แต่ในปี 2563 ถูกกลุ่มสิทธิเยาวชนหลายกลุ่มออกมาต่อต้านและเรียกร้องให้มีการยกเลิกร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ที่ จีน เมื่อปี 2563 คณะกรรมการถาวรประจำสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นสภานิติบัญญัติระดับชาติของจีน รับรองการแก้ไขกฎหมายปรับลดอายุขั้นต่ำของการรับผิดทางอาญาลง จาก 14 ปี เป็น 12 ปี สำหรับการกระทำผิดร้ายแรง โดยเด็กอายุ 12-14 ปี ต้องได้รับโทษทางอาญา หากฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาด้วยวิธีการอันทารุณโหดร้าย หรือทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาด้วยวิธีการอันทารุณโหดร้ายจนนำไปสู่การเสียชีวิตหรือทุพพลภาพร้ายแรง ส่วนเด็กที่มีอายุ 14-16 ปี
อาจถูกลงโทษทางอาญา หากจงใจก่ออาชญากรรมร้ายแรง เช่น การฆาตกรรมและการข่มขืน ซึ่งกฎหมายดังกล่าวเริ่มมีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2564
ที่เกาหลีใต้ เมื่อเดือนตุลาคม 2566 รัฐบาลได้ตัดสินใจลดอายุเยาวชนหากก่อความผิด จากเดิมคือ 14 ปี ลดลงเหลือ 13 ปี หลังจากในประเทศพบเหตุอาชญากรรมที่ผู้ก่อเหตุเป็นเยาวชนมากขึ้น
ส่วนที่สหรัฐอเมริกา เครือข่ายความยุติธรรมเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นเครือข่ายองค์กรไม่แสวงผลกำไร รายงานว่า นับถึงเดือนตุลาคม 2022 พบว่า มี 24 รัฐ ที่ไม่ได้ระบุอายุขั้นต่ำการรับผิดทางอาญาระบุไว้ในกฎหมาย ซึ่งหลักเกณฑ์สำหรับการโอนคดีเยาวชนไปยังศาลผู้ใหญ่แตกต่าง
กันไปในแต่ละรัฐ และขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ “ฝ่ายนิติบัญญัติ” ของไทย และผู้เกี่ยวข้อง เช่น นักจิตวิทยา ตัวแทนศาล เครือข่ายครอบครัว ฯลฯ จะต้องมานั่งคุยกันและตกผลึกให้ได้ว่า
ทำอย่างไร ที่จะไม่เปิดทางให้ “ฆาตกร” ใช้คำว่า “เด็กและเยาวชน” เป็นที่ซ่อนจากการทำผิด และได้รับการลงโทษที่ไม่สมควรแก่เหตุอีกต่อไป!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี