ในขณะที่การจัดทำพระสมเด็จรุ่นเนื้อทองดอกบวบครั้งแรกยังอยู่ระหว่างดำเนินการนั้น ข่าวคราวก็แพร่กระจายไปในหมู่เชื้อพระวงศ์และขุนนางข้าราชการ ต่างคนจึงต่างขอรับพระราชทานเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวโดยถ้วนหน้ากัน จนทำให้จำนวนพระที่จะทำครั้งแรกเพียง 400 องค์ไม่เพียงพอ
ด้วยน้ำพระทัยที่ต้องการเอาใจเชื้อพระวงศ์และขุนนางข้าราชการทั้งหลาย จึงมีพระราชบัณฑูรให้สร้างเพิ่มเติมต่อเนื่องไปเป็นครั้งที่สอง แต่ในครั้งนี้ทำให้พระรวมกันมีจำนวนมาก ต้องสิ้นเปลืองทองคำเป็นจำนวนมากด้วย ดังนั้นในครั้งที่สองนี้จึงทำเป็นแบบเปียกทอง
แบบเปียกทองก็คือด้านในองค์พระใช้ตะกั่วเงินเป็นหลัก จากนั้นใช้ปรอทและทองคำฉาบเคลือบ จึงออกประกายวาววับด้วยคุณสมบัติของทองคำและปรอท แต่เนื้อทองคำจะมากน้อยเท่าใดนั้นก็เหมือนกับรุ่นเนื้อทองดอกบวบ คือขึ้นอยู่กับเหล็กสัตโลหะภายในหรือตะกั่วที่อยู่ด้านในว่ามีอยู่มากน้อยเท่าใด ถ้าเหล็กสัตโลหะหรือตะกั่วมาก เนื้อทองก็จะน้อยลง แต่ถ้าเหล็กสัตโลหะหรือตะกั่วน้อย เนื้อทองก็จะมากขึ้น ซึ่งสามารถตรวจวัดเปอร์เซ็นต์ของทองคำและโลหะอันเป็นส่วนประกอบได้ด้วยเครื่องมือทันสมัยในปัจจุบัน
พระสมเด็จรุ่นเปียกทองนี้ว่ากันว่ามีแบบพิมพ์เพิ่มขึ้นอีก 2 แบบ คือ แบบสมเด็จนางพญาแบบหนึ่งและแบบฐานแซม 7 ชั้น แบบเกศไชโยอีกแบบหนึ่ง ในขณะที่รุ่นเนื้อทองดอกบวบนั้นมี 5 แบบตามที่ได้พรรณนามาแล้ว
พระสมเด็จที่จัดทำทั้งสองครั้งนี้ได้ปลุกเสกพร้อมกัน และพระราชทานแก่เชื้อพระวงศ์และขุนนางข้าราชการพร้อมกัน ในจำนวนนี้ได้พระราชทานแก่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติด้วย
ดังนั้นถ้าจะสรุปพระสมเด็จวังหน้าก็อาจสรุปได้ว่า มีเพียง 2 รุ่น 3 ครั้ง คือรุ่นสองแผ่นดิน ซึ่งเป็นเนื้อผง ใช้มวลสารจากเมืองกังไส รุ่นหนึ่ง และรุ่นที่ทำเป็นทองคำอีก 2 รุ่น คือทองคำแท้ทั้งองค์คือรุ่นจักรพรรดิ และทองคำดอกบวบ รวมทั้งเปียกทองจำนวนรวม 400-1,200 องค์ โดยจำนวนแน่นอนไม่แน่ชัด
สำหรับพระสมเด็จที่เป็นเนื้อทองคำรุ่นจักรพรรดินั้นไม่ปรากฏว่าตกอยู่กับผู้ใดบ้าง เพราะไม่มีความแน่ชัดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายแล้ว จะพระราชทานให้แก่เชื้อพระวงศ์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ท่านใดบ้าง แต่ในระยะหลังนี้ปรากฏให้ได้เห็นกันแล้ว 3 องค์ อยู่ในมือของนักธุรกิจญี่ปุ่น ว่ากันว่าได้เช่าหาไปในราคาสูงมากถึงองค์ละ 3,000 ล้านบาทดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่สาธุชนจะได้สืบหาร่องรอยพระที่เหลือต่อไปว่าอยู่ในความครอบครองของท่านผู้ใด
พระสมเด็จเนื้อทองดอกบวบที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้รับพระราชทานไปนั้น ต่อมาเมื่อได้สร้างพระสายบ้านสมเด็จขึ้นก็มีรุ่นหนึ่งที่ทำด้วยวิธีการเปียกทองแต่จะด้วยเหตุผลทางการเมืองหรือความในใจของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ประการใดก็ไม่ปรากฏ ปรากฏว่าพระเนื้อเปียกทองที่ทำขึ้นในสายบ้านสมเด็จนั้น ด้านหลังองค์พระได้ใช้ตราพระครุฑพ่าห์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ และแม้ว่าสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จะเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แต่ก็หามีสิทธิ์ใช้ตราพระครุฑพ่าห์ในกิจการส่วนตัวของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์แต่ประการใด
ดังนั้นจึงมีข้อครหาว่าการที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ทำการเช่นนี้ น้ำใจลึกอาจจะเป็นแบบเดียวกับหยวนซีไขเมื่อครั้งที่ล้มล้างราชวงศ์ชิงแล้วก็หักหลัง
ขบวนการปฏิวัติชิงไห่ คิดจะตั้งตนเป็นฮ่องเต้ ถึงกับให้ตัดชุดฮ่องเต้เตรียมพร้อมไว้ในลักษณะเดียวกัน
แต่ในที่สุดก็ไม่ปรากฏว่าสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์หรือแย่งราชสมบัติตามที่มีการนินทากันแต่ประการใด นั่นอาจจะเป็นผลจากการที่
เจ้าประคุณสมเด็จเคยไปบังคับให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์สาบานปฏิญาณต่อพระประธานประจำตระกูลบุนนาคในช่วงหลังเหตุการณ์สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์กดดันบังคับให้สถาปนาวังหน้าก็ได้
พระสมเด็จวังหน้าที่จัดสร้างขึ้น 2 รุ่น 3 ครั้งนั้น ในปัจจุบันนี้พระสมเด็จรุ่นสองแผ่นดินได้เป็นที่แพร่หลายมากที่สุด เพราะมีจำนวนมากถึง 84,000 องค์ ส่วนที่จัดสร้างขึ้นแบบเนื้อทองดอกบวบและเนื้อเปียกทองนั้น แม้จะมีจำนวนรวมกันประมาณเกือบ 2,000 องค์ แต่ก็ไม่ถือว่ามาก และเมื่อเวลาผ่านนานไป แม้จะปรากฏให้เห็นที่นั่นที่นี่บ้างแต่ก็ไม่ได้แพร่หลายแต่ประการใด
ถึงกระนั้น ณ วันนี้ก็ไม่มีเซียนพระคนใดกล้าชี้หรือวิจารณ์ว่าพระสมเด็จวังหน้ารุ่นเนื้อทองดอกบวบก็ดี หรือรุ่นเนื้อเปียกทองก็ดีว่าเป็นพระปลอม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรุ่นจักรพรรดิ เพราะโดยทั่วไปเซียนทั้งหลายก็ไม่เคยพบเคยเห็น และถึงแม้รู้เห็นบ้าง ก็ไม่มีใครกล้าบังอาจกล่าวว่าเป็นพระปลอมเลย
ในขณะที่วังหน้าริเริ่มสร้างพระสมเด็จเพื่อบรรจุกรุพระธาตุพนมวังหน้านั้น ทางวังหลวงก็ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทำแบบพิมพ์พระ โดยเป็นหน้าที่ของกรมช่างสิบหมู่ดังนั้นข่าวคราวและค่านิยมในการสร้างพระสมเด็จจึงกึกก้องกระหึ่มมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 แล้ว เพราะบรรดาช่างหลวงตามที่มีรายชื่อที่กำหนดโดยทางราชการและผู้ที่ไม่มีรายชื่อหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่างก็ตื่นตัวและเกิดค่านิยมสร้างแบบพิมพ์พระกันเป็นการใหญ่
ความจริงการสร้างพระของวังหลวงนั้นน่าจะเริ่มมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ตอนต้นที่ครองราชสมบัติ เพราะขณะนั้นสมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ก็ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมวังแล้ว และทรงเรืองปัญญาวิชาคุณ ทั้งสนิทสนมกับเจ้าประคุณสมเด็จมาตั้งแต่ครั้งออกธุดงค์ในสมัยรัชกาลที่ 3 และเคยร่วมสร้างพระกันมาในถ้ำต่างๆหลายแห่ง นัยว่าเพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายซ่องสุมผู้คนที่สนับสนุนสมเด็จเจ้าฟ้าพระภิกษุวชิรญาณ คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 มาแต่เดิม และเมื่อมามีหน้าที่ในกระทรวงวังแล้วก็ได้สร้างพระสมเด็จแบบสายวัด แต่ออกแบบโดยกรมช่างสิบหมู่มาตั้งแต่ต้นรัชกาลที่ 4 แล้ว และพระที่สร้างนี้ก็มีจำนวนมาก แต่ไม่มีจำนวนที่แน่ชัดว่าเป็นจำนวนเท่าใดกันแน่
ดังนั้นพระสมเด็จสายวังเฉพาะสายวังหลวงจึงสร้างขึ้นช่วงแรกในช่วงที่เจ้าประคุณสมเด็จออกธุดงค์ช่วงหนึ่ง และช่วงที่สองคือที่สร้างขึ้นในช่วงต้นรัชกาลที่ 4 อาจจะตั้งแต่ปีที่สองนับแต่ครองราชสมบัติ ซึ่งคงทำกันเป็นล่ำเป็นสัน แต่นั่นก็เป็นลักษณะแบบสายวัดทั่วไป จะมีลักษณะพิเศษบ้างก็บางแบบที่มีการประทับตราพระลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 คือ ตราพระมหาพิชัยมงกุฎไว้ด้านหลัง
พระที่สร้างในยุคนี้จะมีจำนวนเท่าใดไม่ปรากฏจำนวนที่แน่นอน มีลักษณะคล้ายกับพระสายวัด ยกเว้นแบบพิมพ์ที่เป็นฝีมือของช่างหลวง และแบบด้านหลังพระบางรุ่นที่มีลักษณะพิเศษดังพรรณนามานี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี