เมื่อวานนี้ 21 กุมภาพันธ์ 2567, ผู้ทรงอำนาจระดับซูเปอร์นายกรัฐมนตรีของสองประเทศ คือไทยและกัมพูชา ได้พบกันอย่างเอิกเกริกชื่นมื่น ณ ทำเนียบเรือนจำชั่วคราว“จันทร์ส่องหล้า” ซึ่งเวลานี้ได้กลับมาเป็นศูนย์กลางอำนาจรัฐของไทยอีกครั้งหลังจาก“นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร” ได้รับการพักโทษ
ไม่มีใครรู้ว่าความบ้านความเมืองจากการพบปะของ“นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร” กับ “จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน”ประธานคณะองคมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาในครั้งนี้ ได้มีการเจรจาหรือตกลงผลประโยชน์ของชาติกับผลประโยชน์ส่วนตนร่วมกันในหัวข้อใดบ้าง หลังจาก“เศรษฐา ทวีสิน”นายกรัฐมนตรีของไทย และ“ฮุน มาเนต”นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาได้พบกันอย่างเป็นทางการไปแล้วก่อนหน้านี้
การพบปะของผู้ทรงอำนาจทั้งสองประเทศ ใช้เวลาร่วมสามชั่วโมง ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดของตำรวจไทย ที่เหมือนกับการรักษาความปลอดภัยให้กับผู้นำระดับประเทศ ไม่ใช่ฐานะนักโทษเด็ดขาดชายที่อยู่ระหว่างพักโทษ แม้จะไม่มีใครรู้ว่ามีการเจรจาความลับเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ของชาติและผลประโยชน์ส่วนตนอะไรกันบ้างจากการเยี่ยมเยือนของ“สมเด็จฮุน เซน”ครั้งนี้ แต่อย่างน้อยก็ยังมีภาพที่บุคคลทั้งสองนั่งถ่ายรูปคู่กันแพร่ออกมาให้คนทั่วไปได้รับรู้ โดยมี“แพทองธาร ชินวัตร”นั่งอยู่ด้วย พร้อมกับเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า“ทักษิณ ชินวัตร”ไม่ได้ป่วยถึงขั้นวิกฤตอย่างที่เป็นข่าว
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาที่มาที่ไประหว่าง“ทักษิณ ชินวัตร”กับ“สมเด็จฮุน เซน” และการเมืองของไทยระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเห็นว่าการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองของ
สองประเทศ เป็นไปในวันเวลาเดียวกันอย่างช่างบังเอิญ
วันที่ 22 สิงหาคม 2566 รัฐสภาไทยมีมติโหวตเห็นชอบให้นายเศรษฐา ทวีสิน วัย 62 ปี อดีตนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย พร้อมกับวันเดียวกันนั้น“ทักษิณ ชินวัตร”นักโทษหนีคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองและเป็น“เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง”ที่หลบไปอยู่ในต่างประเทศนานกว่า 15 ปีได้เดินทางกลับเข้ามารับโทษทัณฑ์ในแผ่นดินถิ่นเกิด
ขณะที่ในประเทศกัมพูชา “ฮุน มาเนต” วัย 46 ปี บุตรชายคนโตของสมเด็จฮุน เซน ซึ่งเคยศึกษาที่โรงเรียนนายร้อย จปร.ของไทย 2 ปีก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่อและจบจากโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เข้าปฏิญาณตนเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 เช่นกัน โดยสืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดาที่ครองอำนาจทางการเมืองกัมพูชาในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมายาวนานถึง 38 ปี (พ.ศ.2528-2566) จนได้รับการบันทึกว่าเป็นผู้นำที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรียาวนานที่สุดของโลกคนหนึ่งด้วย
ดังนั้น ไม่ว่าจะเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันทั้งสองประเทศ และการพบปะกันของผู้ทรงอำนาจทั้งสองประเทศในครั้งนี้ จึงน่าจะมีนัยสำคัญ ไม่ใช่เพียงแค่การเยี่ยมเยือนเพื่อแสดงความยินดีกรณีที่“ทักษิณ ชินวัตร”ได้รับการพักโทษเท่านั้น
นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร นั้น มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับสมเด็จฮุน เซน มาอย่างยาวนาน แม้กระทั่งในช่วงที่ทักษิณเป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างประเทศระหว่างหนีคดีทุจริต ก็สมเด็จฮุน เซน ผู้นี้ที่เป็นมหามิตรอันเหนียวแน่นของทักษิณ ซึ่งทักษิณสามารถบินเข้าออกประเทศกัมพูชาแบบฉวัดเฉวียน ชนิดเย้ยตำรวจไทยและตบหน้ารัฐบาลไทยได้อยู่ตลอดเวลา
“ตระกูลฮุน”ของสมเด็จฮุน เซน ครองอำนาจในกัมพูชาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และมีฐานทางธุรกิจที่มั่นคงแข็งแรง ขณะที่วันนี้“ตระกูลชินวัตร” ได้กลับมาผงาดอีกครั้งหลังจากอำนาจถูกเปลี่ยนมือไปร่วม 20 ปี ซึ่งเมื่อ“เกลอ”ทั้งสองที่มี“ดีเอ็นเอ”เดียวกันได้กลับมาสานสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง ย่อมหมิ่นเหม่ในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ระหว่างผลประโยชน์ของชาติกับผลประโยชน์ส่วนตน
ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง เป็นห่วงเรื่องปัญหาเขตแดนทางทะเลที่มีทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอย่างอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะในเขตอ่าวไทยที่รัฐบาลกัมพูชาได้วางเส้นแบ่งอาณาเขตลากจากเกาะกง ประเทศกัมพูชาผ่ากลางเกาะกูด จังหวัดตราด ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังเป็นปัญหาคาราคาซังที่ไม่สามารถตกลงกันได้
ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ผู้ทรงอำนาจของทั้งสองประเทศได้มีการหารือแบบซับซ้อนซ่อนเงื่อนกันบ้างหรือไม่ ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี