ครบ 6 เดือนของรัฐบาลชุดนี้ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ดูด้วยใจเป็นธรรมแล้ว ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันที่พอจะอ้างได้ว่าเป็นผลงาน มิหนำซ้ำกลับมีแต่เรื่องที่ส่อไปในทางไม่ชอบมาพากลให้เป็นข่าวฉาวโฉ่อยู่เรื่อยๆ เรียกว่าแทบจะไม่มีว่างเว้น
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้นนำลิ่วมาเลยในเรื่องที่ว่านั้น ทั้งเรื่องหมู เรื่องไก่ เรื่องข้าว เรื่องการจัดซื้อเครื่องบินทำฝนหลวง อีกทั้งเมื่อต้นเดือนี้ก็ยังมีเหตุเพลิงไหม้บริเวณชั้น 2 ของกระทรวง และตอนนี้ก็กำลังตกเป็นข่าวกระฉ่อนเกี่ยวกับพื้นที่พิพาท“เขาใหญ่”ที่มีการออก ส.ป.ก.4-01 ในพื้นที่ทับซ้อนและพื้นที่ที่เป็นแนวกันชน ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
แต่ถึงอย่างไรก็จบด้วยดี เพราะสองกระทรวงตกลงกันได้ โดยยึดกรมแผนที่ทหารเป็นหลัก และยังได้ป่าที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์กลับคืนมา ส่วนเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.ที่มีส่วนในการออกเอกสารสิทธิ์จะถูกจะผิดอย่างไรก็ต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริง
ถ้าจะว่าไปแล้ว กระทรวงเกษตรสหกรณ์เป็นกระทรวงใหญ่ และเกี่ยวข้องกับประชาชนเกือบครึ่งประเทศ โดยเฉพาะประชาชนระดับรากหญ้าที่เป็นเกษตรกร ดังนั้นงบประมาณในแต่ละปีจึงมีวงเงินสูง อย่างปี 2567 ที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาแปรญัติของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สภาผู้แทนราษฎร มีวงเงินทั้งสิ้น 1.8 แสนล้านบาท สำหรับจัดสรรให้ 17 หน่วยงาน
หน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรฯ 17 หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงที่สุด 5 ลำดับแรกก็คือ กรมชลประทาน 8.1 หมื่นล้านบาท, กรมปศุสัตว์ 5.3 พันล้านบาท, กรมส่งเสริมการเกษตร 5 พันล้านบาท, กรมพัฒนาที่ดิน 4.5 พันล้านบาท และกรมการข้าว 4.4 พันล้านบาท ทั้งนี้ สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร อยู่ลำดับ 10 ได้งบประมาณ 1.4 พันล้านบาท
ตามปกติสำหรับกระทรวงใหญ่ที่มีงบประมาณสูง ก็มักจะมีปัญหาเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างในหน่วยงานต่างๆ ถ้าเจ้ากระทรวงไหนมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง ปัญหาก็น้อย ความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ของรัฐมนตรีระหว่างพรรคในกระทรวงนั้นๆ ก็ไม่ค่อยจะมี ทุกอย่างราบรื่นลงตัว และก็เป็นที่รู้กันดีว่า หากไม่โลภมากแบบคิดจะถอนทุน แค่“เงินตามน้ำ”ในโครงการต่างๆ ก็เหลือกินเหลือใช้อยู่แล้ว
เรื่อง ที่ดิน ส.ป.ก.4-01 ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น ก็ช่างบังเอิญมาเกิดเรื่องหลังจากที่กระทรวงเกษตรฯโดยคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ค.ป.ก.) ที่มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯเป็นประธาน ได้มีการเปลี่ยน“ส.ป.ก.4-01”เป็น“โฉนดเพื่อการเกษตร” ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคมปลายปีที่แล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเอื้อประโยชน์ให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวก และยังสามารถเปลี่ยนมือได้ระหว่างเกษตรกรที่มีคุณสมบัติด้วยกันตามที่กฎหมายกำหนด
การที่โฉนดสามารถเปลี่ยนมือกันได้นี่แหละสำคัญ แม้จะมีเงื่อนไขกำหนดไว้ว่า การเปลี่ยนมือทำได้เฉพาะระหว่างเกษตกรที่มีคุณสมบัติด้วยกันตามที่กฎหมายกำหนดก็ตาม แต่ในความเป็นจริงคงมิอาจป้องกันไม่ให้ที่ดินผืนงามๆ เปลี่ยนมือจากเกษตรกรไปอยู่ในมือนายทุนได้ เพราะช่องโหว่ช่องว่างของกฎระเบียบมีให้ซิกแซกมากมาย ขนาดยังไม่เปลี่ยนเป็นโฉนดและไม่สามารถเปลี่ยนมือกันได้ ที่ดิน ส.ป.ก.4-01 ก็ยังตกไปอยู่ในมือนายทุนที่เป็นเจ้าของรีสอร์ท จากการทำนิติกรรมอำพรางในรูปแบบต่างๆ ลองสุ่มไปจังหวัดไหนก็เจอ โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยว
นอกจากปัญหาที่ตกเป็นข่าวครึกโครมในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดังที่ว่ามานั้น อื่นๆ ก็ยังไม่เห็นมีอะไรที่เป็นผลงานของรัฐบาลชุดนี้ อย่างเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่บอกว่าวิกฤต จนบัดนี้ล่วงเลยมาหกเดือนหลังจากที่เข้ามาเป็นรัฐบาล ก็ยังไม่เห็นมีอะไรเลวร้ายดังที่พยายามปั้นเรื่องกันเพื่อจะเข็นนโยบาย“ดิจิทัล วอลเล็ต”ด้วยการกู้เงิน 5 แสนล้านบาทออกมาให้ได้
ทุกวันนี้การท่องเที่ยวก็ไปได้ดี ซึ่งในจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยว แม้แต่อำเภอเล็กๆ นักท่องเที่ยวต่างชาติก็เดินกันเต็มเมืองทุกวัน และก็หาใช่ว่าจะเพิ่งมามีจำนวนเพิ่มขึ้นในช่วงรัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มทยอยเข้ามาตั้งแต่ประเทศเราผ่านพ้นวิกฤตโควิด และมีการเปิดประเทศ ถ้าลองไปถามพ่อค้าแม่ค้าไม่ว่าจะรายเล็กรายใหญ่ ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทำมาค้าคล่อง เงินทองไม่ฝืดเคือง ยิ้มแก้มบานกันทุกคน ทั้งเรื่องการกินการดื่ม และการบริการที่พัก
ที่พูดอย่างนี้ได้ก็เพราะคนที่อยู่เมืองท่องเที่ยว เขาเห็นตำตาอยู่ทุกวันว่านักท่องเที่ยวแห่กันมาเที่ยวเต็มเมือง หลังจากเราเปิดประเทศ และก็ไม่มีเว้นฤดูกาลด้วย ไม่ว่าจะหน้าร้อนหน้าฝนหรือหน้าหนาว มีนักท่องเที่ยวเวียนเข้ามาเที่ยวกันทั้งปี ซึ่งต่างจากก่อนเกิดวิกฤตโควิดด้วยซ้ำไป ที่พอถึงหน้าฝนและหน้าร้อนนักท่องเที่ยวจะมีจำนวนลดลง ทุกวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว จะว่าเป็นเพราะมีการ“ฟรีวีซ่า”ก็ไม่ใช่อีก เนื่องจากไม่ได้ฟรีวีซ่ากันทุกประเทศ
เรื่องผลงานของรัฐบาลนั้น เอาเข้าจริงแม้แต่โครงการแจกเงิน“ดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท”ที่อ้างว่าเพื่อต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ยังเกิดอาการโรคเลื่อนไปเรื่อยๆ ส่วนนายกรัฐมนตรีคือนายเศรษฐา ทวีสิน ก็ยังเห็นทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยลอยไปลอยมา แล้วก็ส่งเสียงต่อว่าต่อขานหน่วยงานที่เป็นอิสระซึ่งเขาไม่ตามใจทำในสิ่งที่เสี่ยงต่อความเสียหายอันจะเกิดต่อประเทศชาติในอนาคตได้ อาทิเช่น ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติที่ไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งที่การพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเป็นเรื่องของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีกรรมการ 7 คนเป็นผู้พิจารณา ไม่ใช่ผู้ว่าฯแบงก์ชาติที่สามารถสั่งได้โดยตรง
และต้นสัปดาห์หน้า “พ่อพวงมาลัย”ก็มีโปรแกรมเดินสายทัวร์ 3 จังหวัดชายแดนใต้พร้อมนอนค้างแรมระหว่างวันที่ 27-29 กุมภาพันธ์ ดูตารางแล้วเหมือนออกไปเที่ยวเล่นเปิดหูเปิดตาในต่างจังหวัด เช่นไปงาน“กตัญญูคู่ฟ้ามหาสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว”จังหวัดปัตานี ไปสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองจังหวัดยะลา และไปสักการะพระพุทธทักษิณมิ่งมงคล ที่วัดเขากง อำเมือง จังหวัดนราธิวาส เป็นต้น
หรือว่านายกฯเศรษฐา ทวีสิน ไปบนบานศาลกล่าวขออะไรไว้ จึงต้องเดินสายทำบุญสักการะเจ้าพ่อเจ้าแม่ตามจังหวัดต่างๆ ดังที่เห็นมาตลอดเวลาไปจังหวัดไหน และถ้าหากคิดจะขอนั่งอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐใมนตรีนานๆ ขอแนะนำว่า ไปขอตรงๆ กับผู้ทรงอิทธิพลแห่งบ้านจันทร์ส่องหล้าน่าจะดีกว่า
เพราะเวลานี้“นักโทษเทวดา”ดูจะมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเซียนและเจ้าพ่อเจ้าแม่องค์ใดใต้ฟ้าเมืองไทย !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี