กาลเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครองสิริราชสมบัติโดยธรรม เป็นมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคของเอเชีย ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวที่มีความสามารถสูงสุดที่สามารถรับมือกับการรุกรานและการคุกคามของนักล่าอาณานิคมได้อย่างสมพระเกียรติ
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของเอเชียที่สามารถรับสั่งภาษาอังกฤษได้แคล่วคล่อง ทรงปฏิรูปประเทศอย่างทั่วด้าน ตั้งแต่การปฏิรูปกฎหมาย ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปการปกครอง ปฏิรูปเงินตรา ปฏิรูปที่ดิน ปฏิรูปเศรษฐกิจ และทรงทำให้สยามเป็นศูนย์กลางการค้าของภูมิภาคนี้อย่างเต็มภาคภูมิ เงินบาทแข็งแกร่งเป็นที่เชื่อถือและเป็นสกุลเงินสากลของภูมิภาค มีภาษาถึง 6 ภาษาในเงินบาท ทรงมีที่ปรึกษาเป็นชาวต่างประเทศถึง 80 คน ด้วยค่าจ้างคนละ 80 บาท ทำให้ทรงทราบความเป็นไปในโลกเป็นอย่างดี
ดังนั้นเพื่อจะคานอำนาจกับประเทศอาณานิคมซึ่งมุ่งหวังจะแบ่งสยามออกเป็นสองประเทศ แล้วยึดครองคนละครึ่ง จึงเสด็จพระราชดำเนินไปเยือนยุโรปเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับมหาอำนาจใหม่ของยุโรปในยุคนั้นคือเยอรมันและรัสเซีย
สำหรับรัสเซียนั้นทรงผูกมิตรเป็นเพื่อนเกลอกับมกุฎราชกุมารแห่งรัสเซีย ถึงกับเชิญเสด็จฯเยือนสยามและต่อมาก็ได้เสด็จฯไปเยือนรัสเซียด้วย
พระองค์ได้เสด็จฯไปเยือนยุโรปถึงสองครั้ง ครั้งหนึ่งได้เสด็จไปเยือนประเทศเยอรมันและได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิไกเซอร์แห่งเยอรมัน ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิก็ได้ทรงทราบกิตติศัพท์พระปรีชาสามารถและความเจริญรุ่งเรืองของสยาม ตลอดจนเห็นโอกาสที่จะได้ขยายบทบาทของสยามในเยอรมัน ดังนั้นจึงถวายการต้อนรับพระเจ้าอยู่หัวเป็นอันดี
มีเรื่องราวที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่าในการเสด็จฯยุโรปครั้งนั้น พระเจ้าอยู่หัวได้พกพาพระสมเด็จประจำพระองค์ไปด้วย ในขณะที่เสด็จพระราชดำเนินผ่านประตูห้องรับรองซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิไกเซอร์รอรับเสด็จฯอยู่นั้น พอเสด็จฯผ่านประตูเข้าไป สมเด็จพระจักรพรรดิไกเซอร์ก็ตะลึงงันเหมือนกับช็อก เพราะทรงเห็นแสงสว่างสีฟ้าและสีส้มเปล่งประกายขึ้นรอบพระองค์ของพระเจ้าอยู่หัว จึงทำให้พระองค์ทรงตกตะลึงในสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดหรือเคยคาดฝันว่าจะได้พบเกิดขึ้น
พระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นลักษณาการดังนั้นจึงรับสั่งถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ สมเด็จพระจักรพรรดิไกเซอร์ก็รับสั่งถามว่าแสงไฟสีฟ้าและสีส้มที่เจิดจ้าออกมาจากพระวรกายนั้นเป็นอะไร
เพราะเหตุใดไม่ปรากฏ พระเจ้าอยู่หัวทรงใช้พระหัตถ์ขวาตบที่กระเป๋าฉลองพระองค์ด้านซ้าย ซึ่งคงจะรู้สึกพระองค์ว่าเป็นเพราะสิ่งของในกระเป๋าฉลองพระองค์ด้านซ้ายเป็นเหตุให้เกิดแสงสว่างนั้น เพราะในกระเป๋าด้านซ้ายของฉลองพระองค์นั้นได้พกพาพระสมเด็จที่เจ้าประคุณสมเด็จเคยทูลเกล้าฯ ถวาย และกราบทูลว่าให้พกติดพระองค์ไปในดินแดนอันไกลโพ้นในวันหนึ่งข้างหน้า
พระเจ้าอยู่หัวคงเชื่อมั่นว่าอภินิหารที่เป็นแสงสว่างเกิดขึ้นจากพระเครื่ององค์นี้ จึงหยิบพระเครื่องออกมาแล้วทูลสมเด็จพระจักรพรรดิไกเซอร์ว่าเป็นเพราะพระสมเด็จองค์นี้ แล้วทรงมอบให้สมเด็จพระจักรพรรดิทอดพระเนตร
สมเด็จพระจักรพรรดิไกเซอร์ทรงรับพระสมเด็จมาทอดพระเนตรอยู่เป็นเวลานานก็ไม่มีทีท่าว่าจะถวายคืนพระเจ้าอยู่หัว และลักษณาการนั้นก็น่าจะมีอาการว่ามีพระราชประสงค์อยากจะได้พระองค์นี้ไว้ ดังนั้นพระเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานพระสมเด็จดังกล่าวแก่สมเด็จพระจักรพรรดิไกเซอร์
เพื่อเป็นของขวัญที่ทั้งสองพระองค์ได้พบกันครั้งแรก สมเด็จพระจักรพรรดิไกเซอร์ก็ขอบพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
เรื่องราวดังกล่าวนั้นปรากฏขึ้นต่อหน้าสายตาของข้าราชการขุนนางที่ตามเสด็จทุกคน จึงเป็นข่าวร่ำลือดังกระฉ่อนและเป็นที่มาของชื่อพระสมเด็จรุ่นนี้ เรียกขานกันว่าพระสมเด็จไกเซอร์ และเชื่อว่าทรงความศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์มาก
ดังนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัติกลับจากยุโรปครั้งนั้นแล้วจึงมีข่าวว่ากระทรวงวังได้สร้างพระสมเด็จไกเซอร์ขึ้นอีกชุดหนึ่ง มีจำนวนราว 3,000 องค์ในขณะที่ทางวัดระฆังก็ได้สร้างขึ้นด้วย แต่จะเป็นจำนวนเท่าใดไม่ปรากฏ แต่เรียกพระสมเด็จรูปแบบนี้ว่าพระสมเด็จไกเซอร์เหมือนกัน
พระสมเด็จไกเซอร์นอกจากทรงความศักดิ์สิทธิ์มีฤทธานุภาพปรากฏมาตั้งแต่ครั้งแรกต่อหน้าพระพักตร์สมเด็จพระจักรพรรดิไกเซอร์แล้ว ก็มีกิตติศัพท์ถึงความศักดิ์สิทธิ์ต่อเนื่องมาโดยลำดับ และในระยะหลังก็ถือกันว่าเป็นพระสมเด็จที่เป็นที่มาแห่งโชคลาภวาสนาตามสมญาแห่งพระอรหันต์ในคติมหายานรูปนั้นด้วย
เซียนพระจำนวนมากเข้าใจผิดคิดว่าพระสมเด็จไกเซอร์เป็นพระสมเด็จสายวัด แท้จริงไม่ใช่ คือเป็นพระสมเด็จสายวังหลวง ที่มีต้นแบบที่สร้างขึ้นเพียง 42 องค์เท่านั้น
ในปัจจุบันนี้พระสมเด็จไกเซอร์นับว่าเป็นพระสมเด็จทรงนิยมมากรุ่นหนึ่งของพระสมเด็จ และในทางพระพุทธศาสนาก็ถือกันว่าเป็นพระที่สร้างขึ้นเพื่อแก้เคล็ดความไม่สมบูรณ์ของนิกายในพระพุทธศาสนาคู่ขนานมากับการสถาปนาสมณศักดิ์ ให้มีคำว่าวชิร อยู่ในนามสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์ต่างๆ กัน ตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชลงมาจนถึงเจ้าคุณระดับชั้นสามัญ และเป็นพระราชนิยมสำคัญในรัชกาลปัจจุบันนี้
ในประเทศจีนก็มีคติเรื่องนี้เหมือนกัน โดยในสมัยจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิงนั้นก็มีผู้รู้กราบทูลว่าประเทศจีนยังไม่สมบูรณ์ ยังขาดนิกายวชิรยานในพระพุทธศาสนา ดังนั้นเพื่อความมั่นคงสถาพรของราชวงศ์ และสถาบันกษัตริย์ และความอุดมสมบูรณ์ของประเทศจีน สมควรสถาปนานิกายวชิรยานขึ้นในกรุงปักกิ่ง
ดังนั้นพระจักรพรรดิเฉียนหลงจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดลามะขึ้น และโปรดเกล้าฯ ให้เชิญนิกายวชิรยานมาประดิษฐานไว้ที่กรุงปักกิ่งตั้งแต่บัดนั้น คติอย่างเดียวกันนี้ประเทศไทยยังไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นมรรคเป็นผล จึงคงมีอยู่แต่เฉพาะที่พระเครื่องและสร้อยสมณศักดิ์ของพระภิกษุ ทั้งที่ปัจจุบันนี้สถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-จีน ก็แน่นแฟ้น มีความพร้อม และเป็นวิสัยที่จะอัญเชิญพระพุทธศาสนานิกายวชิรยานจากทิเบตมาประดิษฐานในประเทศไทยเพื่อความครบถ้วนสมบูรณ์ได้แล้ว เพื่อความมั่นคงสถาพรแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์และสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งความร่มเย็นเป็นสุขสมบูรณ์ของอาณาประชาราษฎรทั้งปวง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี