“ประสีประสา” แปลว่า วิสัย, เรื่องราว, ความเป็นไป นิยมใช้ในเชิงปฏิเสธ เช่น ไม่รู้ประสีประสา หรือความไม่ประสีประสา ซึ่งหมายถึง ไม่รู้เรื่องรู้ราว, ไม่รู้วิสัย ไม่รู้ว่าเขาทำกันมาอย่างไร
คำนี้ เหมาะกับ “รองอ๋อง” หรือ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 พรรคเป็นธรรม ที่เดิมอยู่พรรคก้าวไกล และถูกขับออกโดยไม่มีความผิดใดตามข้อบังคับพรรคเลย (ฮา) เพียงเพื่อจะรักษาเก้าอี้รองประธานสภา กับเก้าอี้ “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร” เอาไว้กับตนและพวก
เป็น “รองอ๋อง” คนเดียวกับที่ ใช้ “งบรับรองแขกของรองประธานสภา” ไปเลี้ยงหมูกระทะแม่บ้าน จนถูกเตือนว่า “งบรับรอง มีวัตถุประสงค์การใช้ชัดเจน ต้องเป็นเพื่องานราชการ ไม่สามารถใช้ตามใจชอบได้ ระเบียบราชการมีอยู่ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลสมควรทักท้วง หากใช้ไปแล้วก็ยังไม่จบ สตง.สามารถเข้ามาตรวจสอบได้เพราะเป็นเงินหลวง” จนต้องรีบควักเงินตัวเองมาคืนหลวง
และเป็น “รองอ๋อง” คนเดียว กับที่โพสต์โฆษณาเบียร์ โดยอ้างว่าเป็นของสินค้าของชาวพิษณุโลก ที่ไหนได้ผลิตที่ฉะเชิงเทรา แล้วมีคนที่พิษณุโลกเอาไปจัดจำหน่าย อย่างไรก็ตาม เป็นการทำผิดกฎหมาย สุดท้ายต้องไป “จ่ายค่าปรับ”
จะเรียกว่า “เงอะงะ” หรือ “โง่งั่ง” ก็สุดแท้แต่ใครจะมอง
ซึ่งวีรเวรวีรกรรมของ “รองอ๋อง” หาได้จบเพียงแค่นี้ไม่ ล่าสุด บุกไปทำเนียบ ทวงถามว่า ทำไมนายกฯยังไม่ลงนามในร่างกฎหมาย ที่เป็น “กฎหมายการเงิน” เสียที
หลายคนออกมาเตือนว่า มัน “ล้ำหน้า” หรือทำเกินไปจากหน้าที่แล้วนะ เสียมารยาทด้วยนะ ผิดขั้นตอนด้วยนะ ก้าวก่ายแทรกแซงด้วยนะ และ “ไม่รู้ประสีประสา” เลยนะ
1) บ่ายวันที่ 1 มีนาคม 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 และ สส.พิษณุโลก พรรคเป็นธรรม เดินทางมายังทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอพบตัวแทนสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และทวงถามร่างกฎหมายการเงินที่ยังค้างอยู่ 31 ฉบับ
โดย นายปดิพัทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้ทำหน้งสือประสานมาแล้วสองครั้ง ยืนยันว่าไม่ใช่การมาบุกตามที่เป็นข่าว แต่เป็นการมาประชุมร่วมกันเพื่อติดตามความคืบหน้าของร่างกฎหมาย เนื่องจากไม่ทราบรายละเอียดว่าแต่ละร่างอยู่ในขั้นตอนไหนแล้ว จึงอยากมาขอหารือถึงการทำงานร่วมกัน ยืนยันว่าเป็นเรื่องดีที่ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติมีโอกาสหารือกัน
เมื่อถามว่า ทางพรรคเพื่อไทยมองว่าเป็นการรุกล้ำอำนาจฝ่ายบริหาร นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้มากดดันให้เขาเซ็น แต่มองว่าการทำงานร่วมกันมีเรื่องต้องปรับปรุง อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้คาดหวังว่าต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นการพูดคุยครั้งแรก และเข้าใจในฝั่งรัฐบาล แต่ถ้าไม่พูดคุยกันเลย และตอบโต้กันผ่านหนังสืออย่างเดียวก็จะไม่มีโอกาสปรับปรุงการทำงานร่วมกัน
เมื่อถามว่า การที่รองประธานสภาฯต้องมาเอง แสดงว่าวิปที่ประสานกับรัฐบาลทำงานไม่ตอบโจทย์ใช่หรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่วิปรัฐบาล แต่ตนมีหน้าที่ดูแลการตรากฎหมายโดยตรง ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล เพราะแม้แต่ร่างของพรรคภูมิใจไทยเองก็ยังค้างอยู่
เมื่อถามต่อว่า ทางประธานสภาผู้แทนราษฎรมีความเห็นเรื่องนี้อย่างไร นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ท่านยังไม่มีความเห็น เพราะการดูแลเรื่องกฎหมายเป็นหน้าที่ตน ยืนยันว่าเป็นการทำหน้าที่ปกติเพื่อช่วยให้กระบวนการนิติบัญญัติเป็นไปอย่างถูกต้อง
ถามต่ออีกว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีธรรมเนียมที่รองประธานสภาต้องมาตามกฎหมายเองแบบนี้ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า แล้วไม่ดีตรงไหน ตนมองว่าทำเนียบกับสภาควรใกล้ชิดกัน ถ้าทำงานร่วมกันบ่อยๆ ความไม่เข้าใจกันก็จะลดลง ไม่คิดว่าต้องวางตัวห่างกัน ฝ่ายบริหารเองก็มาที่สภาบ่อย ถ้าสภาจะมาเยี่ยมฝ่ายบริหารบ้างก็ไม่เห็นจะผิดธรรมเนียมอะไร
เมื่อซักว่า ไม่มีวาระซ่อนเร้นอะไรใช่หรือไม่นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ไม่มี รีบคุยรีบกลับ ส่วนที่พรรคเพื่อไทยมองว่าไม่มีมารยาททางการเมืองนั้น ตนขอกลับว่าการมาคุยเพื่อทำงานร่วมกันเป็นเรื่องผิดมารยาทตรงไหน ตนเข้ามาปิดทำเนียบหรือ หรือมาไม่สุภาพ ยืนยันว่ามาด้วยเจตนาบริสุทธิ์ และขอความร่วมมือเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเสร็จสิ้น นายปดิพัทธ์ได้เดินเท้าต่อไปที่หน้าตึกบัญชาการ 1 เพื่อรอพบกับตัวแทนของสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) โดยระหว่างที่ยืนรออยู่หน้าตึกบัญชาการ 1 เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลประจำทำเนียบรัฐบาล ได้พยายามติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ว่าใครจะลงมาพูดคุย ทำให้รองอ๋อง ซึ่งยืนรออยู่พูดว่า “สำนักงานเลขาธิการนายกฯ มีกี่คน ไม่อยู่สักคนเลยเหรอครับ”
2) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงกรณีที่ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 เข้ามายังทำเนียบรัฐบาล
เพื่อติดตามร่างกฎหมายที่ค้างอยู่กว่า 31 ฉบับ ที่ระบุว่ารัฐบาลดองไว้ไม่เซ็นสักที ว่า ตนไม่ทราบเรื่องการดอง ไม่ทราบเรื่องคำศัพท์อะไรพวกนี้ แต่ นายสมคิด เชื้อคงรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็ได้ประสานรับเรื่องไว้แล้ว เดี๋ยวก็คงต้องไปดู
ส่วนวันนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่า การเดินทางมาของนายประดิพัทธ์ ไม่ได้มีการประสานล่วงหน้า ทำให้เกิดภาพมายืนรอ ไม่มีใครต้อนรับนานพอสมควรใช่หรือไม่
นายกฯ กล่าวว่า อันนี้ตนไม่ทราบ ก่อนจะย้อนถามว่า มันเป็นพฤติกรรมที่ถูกต้องหรือไม่ ที่รองประธานจะบุกมาที่ทำเนียบรัฐบาล ตนไม่แน่ใจว่าต้องมีการประสานให้ชัดเจนหรือไม่ ถ้าประสานกันดี บอกเวลา แนะแนว ตนว่าทำเนียบฯ เราก็เปิดรับ เราเป็นคนไทย เราต้องรับแขกอยู่แล้ว
เมื่อถามย้ำว่า มันไม่ใช่ธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติกันมาใช่หรือไม่ ที่รองประธานสภาฯ จะบุกมาถึงทำเนียบรัฐบาล นายกฯ มองว่า มันต้องมีครั้งแรกเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่ต้องให้ความเป็นธรรม ก็จะไปดูแลให้ ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร
3) นายจงเจริญ สุวรรณรัตน์ ผอ.กองงานประสานงานทางการเมืองสำนัก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ทำหนังสือมาถึง สลน.โดยมีการพิจารณาแล้ว มีการมอบหมายตนไปพบรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ที่รัฐสภา ตนจึงอยู่ระหว่างรอว่าจะให้ไปพบเมื่อไหร่ เป็นจังหวะหนังสือที่ส่งสวนทางกันจึงอาจดูขลุกขลักในวันนี้
4) นายธนกร วังบุญคงชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึงกรณีที่นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อทวงถามนายกฯและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับร่างกฎหมายที่ยังค้างค้างอยู่ว่า ตนเองมองว่าฝ่ายนิติบัญญัติแค่ประสานงานมายังเว็บรัฐบาลก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาลด้วยตัวเอง เพราะดูไม่เหมาะสมมองว่า ทำเกินไป ควรรักษามารยาททางการเมืองกว่านี้ เห็นว่า การที่ฝ่ายนิติบัญญัติเข้ามามาทวงถามฝ่ายบริหารเองถือเป็นการก้าวล่วงอำนาจหรือไม่
เมื่อถามว่าเป็นเพราะกฎหมายสำคัญที่พรรคก้าวไกลเสนอมีการวิจารณ์ว่าถูกรัฐบาลดองไว้ นั้น นายธนกรกล่าวว่า ประธานสภาและรองประธานสภา หรือฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สามารถประสานงานหรือการติดตามทวงถาม ซึ่งก็มีขั้นตอนทั้งทางเอกสารและทวงถามด้วยวาจาอยู่แล้ว เพราะเมื่อถูกสื่อถามเรื่องการนัดหมายกับใครในสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีไว้ แต่ท้ายสุดนายปดิพัทธ์ ก็ไม่ได้เจอผู้ใหญ่ตามที่กล่าวอ้าง เจอเพียงผู้อำนวยการกองงานประสานงานกลางการเมือง ของทำเนียบฯรับเรื่องไว้เท่านั้น
“จึงทำให้ผมคิดได้ว่า การที่นายปดิพัทธ์เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลด้วยตัวเองเพื่อจะทวงถามร่างกฎหมายต่างๆนั้นอาจมีวาระซ่อนเร้น หรือหวังผลทางการเมืองอะไรหรือไม่ จึงอยากขอให้นายปดิพัทธ์ที่เป็นถึงรองประธานสภาให้เกียรติและไว้หน้าฝ่ายนิติบัญญัติด้วย
ที่สำคัญ ร่างกฏหมายต่างๆ มีขั้นตอนปฏิบัติเช่นการส่งไปให้หน่วยงานต่างๆ ให้ความเห็นซึ่งมีหลายหน่วยงานที่่เกี่ยวข้องซึ่งแต่ละหน่วยงานต้องใช้เวลาในการพิจารณา กว่าจะส่งกลับมาก็ต้องใช้เวลา นายปดิพัทธ์เป็นถึงรองประธานสภาฯควรรักษาเกียรติตัวเองและเกียรติสภาฯด้วย“ นายธนกร กล่าว
5) นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และ อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สองกล่าวถึงกรณีที่นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ไปทำเนียบรัฐบาล เพื่อติดตามร่างกฎหมายที่ค้างอยู่เมื่อวานนี้ 1 มี.ค.ที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่ว่า
เป็นการทำเกินอำนาจหน้าที่ของรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นเรื่องที่เกินเลยไปมาก การไปทำเนียบรัฐบาลเพื่อทวงถามร่างกฎหมายของนายนายปดิพัทธ์เช่นนี้ จะเป็นการแทรกแซงการทำงานของฝ่ายบริหาร หน้าที่และอำนาจของประธาน และ รองประธานสภา ไม่มีอำนาจไปแทรกแซงฝ่ายบริหาร ต้องเป็นตัวแทนของสภา สื่อสารประสานงานเท่านั้น และตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ต้องดำเนินกิจการของสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นไปตามข้อบังคับการประชุม และที่สำคัญแทบจะทุกเรื่องจะต้องอาศัยมติของสภา ในส่วนของการพิจารณากฎหมายสามารถสั่งระงับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน และส่งให้นายกรัฐมนตรีรับรองแค่นั้น
เมื่อถามว่าในเรื่องนี้จะนำไปหารือในที่ประชุมวิปรัฐบาลในสัปดาห์หน้า หรือไม่
นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องจบได้แล้ว จะไม่นำหารือในที่ประชุมวิปรัฐบาล เพราะเป็นเรื่องที่ควรคิดได้ ไม่ควรที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับงานสภา จึงไม่ควรนำมาหารือในที่ประชุมวิป
เมื่อถามว่าที่ผ่านมาเคยทำหน้าที่เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เช่นเดียวกับนายปดิพัทธ์ จะมีการพูดคุยหรือชี้แนะนายปดิพัทธ์ หรือไม่ นายวิสุทธิ์กล่าวว่าตนไม่มีอคติกับนายปดิพัทธ์ แต่อยากให้ข้อคิดว่าการทำหน้าที่บนบัลลังก์ และการทำหน้าที่ของรองประธานสภาผู้แทนราษฎรจะต้องเป็นกลาง ถือเป็นหน้าตาของฝ่ายนิติบัญญัติ อยากให้นายปดิพัทธ์ระวังในเรื่องนี้ เพราะเมื่อมาเป็นรองประธานสภาแล้ว ถือว่าไม่มีพรรคไม่มีพวก มีแค่ทำหน้าที่ให้ประชาชน จะไปติดตามเรื่องใดโดยเฉพาะนั้นทำไม่ได้
สรุป :
นายปดิพัทธ์อาจมีเจตนาดี แต่ความไม่ประสีประสา ทำให้เล่น “ล้ำหน้า” เกินบท เกินหน้าที่ เกินเขตอำนาจ
“ขงจื๊อ” เคยกล่าวไว้ คนฉลาดและขยัน ควรส่งเสริมให้เป็นแม่ทัพ, คนฉลาดและขี้เกียจ ควรเลี้ยงไว้เป็นทหารฝ่ายเสนาธิการวางแผนอยู่เบื้องหลัง, คนโง่และขี้เกียจเก็บไว้ใช้สอยทำงานตามคำสั่งพอไหว, แต่ถ้าเจอคนโง่และขยัน ต้องเอาไปตัดหัวทิ้งทันที
ขณะที่ นายชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ก็เขียนบทความ อ้างถึงคำกล่าวของจอมพลเฮ็ลมูท คาร์ลแบร์นฮาร์ท ฟ็อน ม็อลท์ (1800-1891)(Field Marshal Helmuth Karl Bernhard von Moltke) ของกองทัพปรัสเซีย ที่ได้จัดประเภทของทหารของตนเองไว้เกือบสองร้อยปีที่แล้ว และยังความเป็นอมตะมาจนถึงปัจจุบันว่า
พวก “โง่และขยัน” (Stupid & Energetic) เขาบอกว่าคนประเภทนี้อันตรายและจะต้องถูกกำจัด คนพวกนี้มักสร้างเรื่องสร้างราวให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ แต่เป็นเรื่องที่ผิดและสร้างปัญหามาก (These are dangerous and must be eliminated. They cause things to happen, but the wrong things, and so cause trouble.)
คนประเภทนี้ควรกำจัดทิ้งสถานเดียว เพราะจะขยันทำแต่เรื่องโง่ๆให้เดือดร้อน ต้องตามแก้ปัญหาไม่รู้จักจบสิ้น พวกนี้ใช้การไม่ได้ไม่ต้องรับไว้ถ้าเป็นบริษัทก็คัดชื่อทิ้งให้หมด พวกนี้ถึงขยันแต่ก็โง่ จะขยันทำแต่เรื่องโง่ๆ ขยันเกินจนไปทำลายองค์กร
จึงอยากให้ อ.ชำนาญ วิเคราะห์ “รองอ๋อง” หน่อย ว่าอยู่ในข่ายคนประเภทนี้หรือเปล่า!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี