เมื่อบ่ายวานนี้ (26 มีนาคม) นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งอยู่ระหว่างพักโทษในคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ออกจากบ้าน“จันทร์ส่องหล้า”ไปเพ่นพ่านที่พรรคเพื่อไทย เพื่อให้นักการเมืองของพรรคเพื่อไทย ทั้งรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และสส.เข้ากราบเท้ากราบอกแสดงความเคารพนับถือ

นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เดินทางมาอย่างคนที่อยู่ในสภาพปกติ แข็งแรงไม่มีอาการป่วยใดๆ หน้าตาสดชื่นผ่องใส ทั้งรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และสส.พรรคเพื่อไทยเดินตามแห่ล้อมหน้าล้อมหลังตั้งแต่ลงจากรถยนต์ และทักษิณยกมือขวาที่ดูเหมือนว่าใช้การไม่ได้ก่อนหน้านี้ โบกมือทักทายลูกพรรคและมวลชนคนเสื้อแดงที่มารอต้อนรับชนิดที่เป็นหนังคนละม้วนกับเมื่อตอนออกจากโรงพยาบาลตำรวจ

ที่บอกว่า“ทักษิณ ชินวัตร”ออกไปเพ่นพ่านที่พรรคเพื่อไทยก็เพราะทักษิณยังเป็นนักโทษที่อยู่ระหว่างการพักโทษ แต่ก็ปรากฏว่า นับตั้งแต่“ทักษิณ ชินวัตร”ได้รับการพักโทษเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์เดือนก่อนเป็นต้นมา ทักษิณไม่เคยหยุดนิ่ง เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาไม่เหมือนคนป่วยที่อยู่ในขั้นวิกฤตซึ่งช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรือโดยหลักเกณฑ์ตามกฎข้อบังคับของกรมคุมประพฤติที่ควรจะต้องอยู่เงียบๆ อย่างสงบในเรือนจำเทียมที่“บ้านจันทร์ส่องหล้า” อันเป็นเรื่องนักโทษที่อยู่ระหว่างการพักโทษพึงกระทำ แต่การปฏิบัติตัวของทักษิณกลับตรงกันข้าม

อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติของ “ทักษิณ ชินวัตร”นั้น นิสัยถาวรเป็นคนที่ไม่ฟังใคร เป็นคนโอ่อวดตน ชอบแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ยึดถือตนเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล อยากได้อะไรต้องเอาให้ได้ เหมือนที่เจ้าตัวเคยพูดหลังจากระเห็จหนีไปเป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างประเทศว่า “ถ้าไม่ได้กลับเมืองไทยและอยู่อย่างมีความสุข ก็อย่าหวังว่าคนอื่นในประเทศนี้จะอยู่อย่างมีความสุขได้”

การกลับเข้ามาในประเทศไทยของ“ทักษิณ ชินวัตร”ในครั้งนี้ ทักษิณคิดว่าตนเองถือไพ่เหนือกว่าใครในประเทศนี้เพราะพรรคเพื่อไทยซึ่งคนทั่วไปรู้กันดีว่าเจ้าของพรรคตัวจริงคือทักษิณนั้น เป็นแกนนำพรรครัฐบาล และนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก็เป็นคนที่ทักษิณสนับสนุนและวางตัวให้นั่งในตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล พูดให้ชัดก็คือ เป็นนายกรัฐมนตรี“หุ่นเชิด”ที่ทักษิณสามารถชักใยได้

จะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ได้รับการพักโทษหลังจาก“กบดานเงียบ” มาเป็นเวลา 180 วันในสภาพ“นักโทษสูงวัย-อยู่ในขั้นป่วยวิกฤต” อันเป็นละครตบตาที่“ทักษิณ ชินวัตร”อำนวยการสร้าง มีตัวประกอบทั้งนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และข้าราชการกรมราชทัณฑ์ รวมทั้งแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลตำรวจร่วมแสดง พอทักษิณได้กลับไปอยู่บ้านจันทร์ส่องหล้าก็หายป่วยขึ้นมาทันทีทันใดราวกับมีปาฏิหาริย์

ย้อนดูไทม์ไลน์ก็จะเห็นว่า กลับไปอยู่บ้านได้แค่สามวัน มีอาคันตุกะที่เป็นเกลอเก่าคือ“ฮุนเซน”ประธานองคมนตรีกัมพูชาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา บินตรงจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา มาเยี่ยมเยียนถึง“บ้านจันทร์ส่องหล้า” และถัดมาอีกสามวันคือวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน ก็ได้นั่งรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งเช่ามาใหม่เข้าไปพบทักษิณและกินอาหารมื้อเที่ยงด้วยกัน จากนั้นอีกไม่ถึง 20 วัน นักโทษรายนี้ก็ได้ขออนุญาตกรมคุมประพฤติกลับบ้านเกิดที่จังหวัดเชียงใหม่โดยเครื่องบินเจ๊ตส่วนตัว ซึ่งภาพที่ปรากฏทั้งหมดไม่เห็นอาการป่วยของทักษิณเลยแม้แต่น้อย

เรื่องดังกล่าวนั้น นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งเป็นสว.ได้นำไปอภิปรายซักฟอกรัฐบาลเมื่อวันก่อนว่า “...ท่านได้รับการรักษาตัว 180 วัน หรือ 6 เดือนเต็มในโรงพยาบาลฯ โดยการอนุมัติจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ด้วยข้อมูลการแพทย์ที่สังคมเคลือบแคลงสงสัยตลอดมา ตลอด 6 เดือนท่านแทบไม่ได้สัมผัสเรือนจำเลย ผมคิดว่าประตูเรือนจำสีอะไร ทำด้วยอะไร ท่านอาจจะยังนึกไม่ออกจนกระทั่งบัดนี้ จากนั้นความสงสัยประหลาดใจยิ่งเพิ่มขึ้นอีก หลักจากได้พักโทษไม่ถึงสัปดาห์ก็เปิดบ้านรับแขกบ้านแขกเมือง ขออนุญาตกลับบ้านที่เชียงใหม่ มีรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง นายกอบจ. ข้าราชการ มารอรับแล้วรายงานข้อราชการ ดูแล้วไม่เหมือนนักโทษที่ได้รับการพักโทษ แล้วไม่เหลือเค้าของอาการเจ็บป่วยรุนแรงวิกฤต ที่แพทย์โรงพยาบาลตำรวจยืนยันมาตลอดว่าวิกฤต เสี่ยงต่อชีวิต”

จะอะไรก็ตามที เรื่องราวของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร นั้น ยิ่งกว่าหนังชีวิตเรื่องยาวที่ไม่ธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาเพราะทักษิณไม่ยอมทำตัวให้เป็นคนธรรมดา อย่างที่เขียนไว้ตอนต้นว่านิสัยถาวรเป็นคนที่ไม่ฟังใคร ชอบแสดงอำนาจบาตรใหญ่ อยากได้อะไรต้องเอาให้ได้

การกระทำดังกล่าวของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่หลังได้รับการพักโทษจนกระทั่งเดินทางเข้าพักเพื่อไทยเมื่อบ่ายวานนี้ คือการแสดงความยิ่งใหญ่ให้เห็นว่า ประเทศนี้ ณ เวลานี้ คนอย่างทักษิณจะทำอะไรก็ได้ ถึงขนาดว่าโกงชาติโกงแผ่นดินแม้ศาลจะมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกแล้วก็ตาม แต่ก็ได้รับการพักโทษโดยที่ไม่เคยเข้าไปติดคุกแม้แต่วันเดียว

เช่นที่ รองศาสตราจารย์เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการทางด้านกฎหมาย และประธานหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย เคยแสดงความเห็นไว้ว่า “ทักษิณ (ชินวัตร) ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯพระราชทานอภัยลดโทษ ซึ่งจะต้องรับผิดรับโทษ และใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง แต่สิ่งที่ทักษิณทำยังไม่ได้รับผิด ไม่ได้รับโทษ และยังไม่ได้ใช้ความรู้อะไรให้เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง นี่เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า ทักษิณท้าทายประเทศไทยมาโดยตลอด และยังท้าทายอยู่ ท้าทายให้รู้ว่าจะไม่ติดคุกแม้แต่นาทีเดียว เป็นการท้าทายให้รู้ว่า ก็บอกแล้วไงว่าจะไม่ติดคุกแม้แต่นาทีเดียว”

อีกท่านหนึ่ง นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตประธานรัฐสภา ซึ่งเมื่อวานนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้ยกฟ้องคดี“หมิ่นประมาททักษิณในปี 2555”กรณีที่เคยวิพากษ์วิจารณ์การแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ของ“รัฐบาลทักษิณ” โดยนายชวนได้ตอบคำถามเรื่องน.ช.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางเข้าพรรคเพื่อไทยว่า “พรรคของท่าน ท่านก็มีสิทธิ์ที่จะไป...เมื่อคนป่วยแล้วหายป่วยก็ถือเป็นเรื่องดี แต่เป็นที่รู้กันว่าอาการป่วยที่ต้องใช้สิทธิ์ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจหรือไม่นั้น เป็นที่รู้กันทั้งเมืองว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลชุดนี้ละเลยการรักษาความเสมอภาค...”

ส่วนประเด็นที่“ทักษิณ ชินวัตร”ไปเพ่นพ่านที่พรรคเพื่อไทย จะถือว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (พ.ศ.2560) มาตรา 28และมาตรา 29 ฐานเป็น“คนนอก”เข้าไปครอบงำพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น นายชวน หลีกภัย ซึ่งถือว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองอีกคนหนึ่งในเวลานี้-ไม่ออกความเห็น

แต่ถึงจะเข้าข่ายแล้วมีคนร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็ตาม พูดได้คำเดียวว่า คนอย่างนักโทษเทวดาที่ชื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”จะทำอะไรก็ได้สำหรับประเทศไทยในวันนี้ !

รุ่งเรือง ปรีชากุล