“ระบอบทักษิณ”ที่ใช้ระบบ“ทักษิโณมิกส์”หรือนโยบายประชานิยมขับเคลื่อน และยึดกุมหน่วยงานราชการทุกส่วนที่เป็นกลไกรัฐในการบริหารประเทศนั้น มาพร้อมกับ“ทักษิณ ชินวัตร”ซึ่งเท่ากับว่ากว่า 15 ปีที่ทักษิณหนีคดีโกงชาติโกงแผ่นดินไปอยู่ต่างประเทศ และ 18 ปีของการถูกยึดอำนาจในปี 2549 กำลังฟื้นกลับมาใหม่
รัฐบาลขิงแก่ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์, รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช, รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์, รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหมือนลมที่พัดผ่านเลยไป ราวกับว่าไม่มีอยู่จริง
หรือแม้แต่ 8 ปีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังถูกพรรคเพื่อไทยด้อยค่าว่า“ไม่มีอะไร” ทั้งที่บุญเก่าหลายโครงการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทำไว้ ได้เป็นอานิสงส์ให้รัฐบาลเพื่อไทยที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ใช้โฆษณาตีกิน
การเหยียบพรรคเพื่อไทยที่ตึก“OAI”อันเป็นตัวย่อ“โอ๊ค-เอม-อิ๊ง” ของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมานั้นภาพแต่หนหลังของ“ระบอบทักษิณ”หวนย้อนกลับขึ้นมาทันที นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายภูมิธรรม เวชยชัย เดินขนาบซ้ายขนาบขวาทักษิณ ซึ่งบุคคลทั้งสองเป็นขุนพลที่เคยรับใช้ใกล้ชิดทักษิณมาตั้งแต่ครั้งก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลที่มีทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี
ต่อภาพให้เห็นชัดเจนขึ้นมาอีกนิด ในยุคที่“ทักษิณ ชินวัตร“ครองอำนาจ เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและเป็นนายกรัฐมนตรี นั้น “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ”เป็นเลขาธิการพรรคไทยรักไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ส่วน“ภูมิธรรม เวชยชัย”เป็นรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
และก็ไม่แปลกที่บทสัมภาษณ์ของ“สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ”จะอวยเกียรติคนอย่างนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตรในวันที่ทักษิณเหยียบพรรคเพื่อไทย ซึ่งสังคมทั่วไปต่างก็รู้ว่าทักษิณคือเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง แม้แต่นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีอดีตประธานรัฐสภาและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังให้ความเห็นกับสื่อกรณีที่ทักษิณเดินทางเข้าพรรคเพื่อไทยว่า “พรรคของท่าน ท่านก็มีสิทธิ์ที่จะไป” โดยนายสุริยะยกยอปอปั้นทักษิณว่า“ท่านถือเป็นสัญลักษณ์ความสำเร็จของพรรค”
ความสำเร็จของพรรคที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจหมายถึงนั้นก็คือพรรคไทยรักไทยเมื่อครั้ง“ทักษิณ ชินวัตร”ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่าง ปี 2544-2549 และนายสุริยะมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า “ในสมัยที่ท่านอดีตนายกฯทักษิณเป็นหัวหน้าพรรค และผมเป็นเลขาธิการพรรค ท่านได้ให้นโยบายต่างๆ ทำให้กระทรวงคมนาคมมีผลงานที่โดดเด่น เช่น การสร้างสนามบินสุวรรณภูมิที่เสร็จตามกำหนดเวลา และกลายเป็นสนามบินอันดับต้นๆ ของโลก ผมจึงคิดว่าหากมีโอกาส ในส่วนของกระทรวงคมนาคมก็จะขอคำปรึกษาจากท่านว่าจะทำอย่างไร ในการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิให้กลับมาติดอันดับโลก”
สิ่งที่“สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ”พูดนั้นอาจจะหลอกเด็กที่ไม่รู้ประสีประสาหรือเกิดไม่ทันให้หลงเชื่อได้ เพราะโดยข้อเท็จจริงสนามบินสุวรรณภูมิในยุค“ทักษิณ ชินวัตร”มีแต่เรื่องฉาวเกี่ยวกับการทุจริตสารพัดเรื่อง และล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างทั้งสิ้น
คดีที่เป็นข่าวครึกโครมที่ยังจำกันได้ดี ก็คือ“คดี CTX” เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสาร และเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด ในสนามบินสุวรรณภูมิ วงเงินงบประมาณ 6,937 ล้านบาท ซึ่งทั้งนายทักษิณ ชินวัตร และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.ว่าทุจริตประพฤติมิชอบทั้งสองคน
อีกเรื่องหนึ่งที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ พูดเท็จและต้องสาวไส้ออกมาให้คนรุ่นนี้ได้ทราบข้อเท็จจริง นั่นก็คือเรื่องการใช้หนี้“ไอเอ็มเอฟ” ซึ่งนายสุริยะบอกว่า “ท่านนายกฯทักษิณทำไว้ ประชาชนรุ่นใหม่ที่อายุน้อยอาจไม่ทราบถึงผลสำเร็จที่ท่านเคยทำ แต่ผู้สื่อข่าวคงจำได้ว่า ท่านนายกฯทักษิณเคยชำระหนี้ไอเอ็มเอฟในยุควิกฤตต้มยำกุ้งได้ก่อนเวลา ซึ่งถือเป็นผลงานที่จับต้องได้ ประสบการณ์เหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่เราต้องเรียนรู้และนำมาปรับใช้”
ข้อเท็จจริงมีสองประการ ประการแรก“วิกฤตต้มยำกุ้ง”เกิดขึ้นในปี 2540 ในยุครัฐบาลพรรคความหวังใหม่ที่มี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี และ“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นรองนายกรัฐมนตรี (โควตาพรรคพลังธรม) ได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่ 2 กรกฎาคมปีเดียวกันนั้น ส่งผลทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงอย่างทันทีทันใด จากเดิมประมาณ 25.60 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ กระทั่งอ่อนตัวลงไปต่ำสุดถึง 55 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนั้น นอกจากทำให้ธุรกิจเอกชน เช่น บริษัทบ้านจัดสรร อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมผลิตวัสดุก่อสร้าง สถาบันการเงิน ธนาคาร ธุรกิจการพิมพ์การโฆษณา ถูกกระทบอย่างรุนแรง หลายแห่งต้องปิดกิจการ หลายแห่งมีหนี้ท่วมตัว พนักงานจำนวนมากถูกปลดออกจากงาน และยังส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ อาทิ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เกาหลี ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และรัสเซีย เป็นต้น จนทำให้รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ถูกกดดันให้ลาออก หลังจากกู้เงิน IMF จำนวน 17,200 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อพยุงฐานะทางการเงินของประเทศ โดยรัฐบาลไทยจำต้องยอมรับเงื่อนไขต่างๆ ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟกำหนดขึ้น
สรุป ก็คือ รัฐบาล“ชวน 2”ที่กลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้งโดยมีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งรับไม้ต่อจากรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้ชดใช้หนี้คืนไอเอ็มเอฟ ได้ทั้งหมดตามเงื่อนไขที่ไอเอ็มเอฟเป็นผู้กำหนด เพียงแต่รัฐบาลชวนพ้นวาระไปก่อน จึงคาบเกี่ยวมาถึงรัฐบาลพรรคไทยรักไทยของทักษิณ ชินวัตร ทำให้รัฐบาลพรรคไทยรักไทย“ตีกิน”ว่าเป็นผลงานของตน
สำคัญที่สุดการ“ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท”ของรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นั้น บริษัทใน“เครือชิน”ของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร มีกำไรมหาศาลจากการประกาศลอยตัวค่าเงินบาทดังกล่าว ท่ามกลางความพินาศย่อยยับของประเทศที่ธุรกิจต่างๆ ต้องประสบกับวิกฤต นั่นก็เพราะรู้“ข้อมูล”วงในก่อนที่จะมีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท
“สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ”พูดโกหกบิดเบือนเช่นนั้น ก็เพราะต้องการประจบนายที่ชื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”เท่านั้นเอง !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี