ภาพสองภาพที่หัวหินกับเชียงใหม่ในวันสงกรานต์ที่ผ่านมานั้น เห็นได้ชัดว่าใครเป็นใคร ระหว่างนายเศรษฐา ทวีสิน กับนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร
ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเวลานี้ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ด้วยความลำพองว่าตนนั้นยิ่งใหญ่กว่าใครในประเทศนี้ ได้เปิดหน้าไม่ต้องอำพรางกันต่อไปอีกแล้ว ว่าป่วยจริงหรือป่วยไม่จริง หรือจะต้องสำรวมตนว่า ตัวเองเป็นนักโทษคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองที่อยู่ระหว่างพักโทษ และอยู่ในการควบคุมของกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม
ภาพที่ปรากฏให้เห็นนั้น “ทักษิณ ชินวัตร” อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ มีรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย 18 คนจากทั้งหมด 22 คน ในรัฐบาลชุดนี้ บินไปห้อมล้อมแห่แหน ขาดไปเพียงแค่ 4 คน คือ นายเศรษฐา ทวีสินนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยฯต่างประเทศ
ขณะที่นายเศรษฐา ทวีสิน นั่งแถลงข่าวกับสื่ออย่างโดดเดี่ยวเดียวดายที่บ้านพักตากอากาศริมทะเลหัวหิน และตอบคำถามแบบเอ้ออ้าๆ ไม่ได้เนื้อได้ความเป็นเรื่องเป็นราว เพราะคำถามที่สื่อถามนั้น ส่วนใหญ่เป็นประเด็นต่อเนื่องที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ให้สัมภาษณ์ที่เชียงใหม่มาก่อนแล้วทั้งสิ้น จึงได้แต่ตีกรรเชียงหนีหรือไม่ก็สนองรับคำของ “ทักษิณ” ตามน้ำไป
ไม่ว่าจะเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี หรือเรื่องการเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทยของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่มีโทษติดตัว 5 ปี จากคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว โดยได้หลบหนีออกไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2560 นับจนถึงวันนี้ก็ 7 ปีที่ต้องเป็น “สัมภเวสี” ร่อนไปร่อนมาอยู่ในต่างแดนกับพี่ชาย และหลังจากพี่ชายกลับมาก็ต้องเปล่าเปลี่ยวเอกา
กรณีของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ผู้เป็นน้องสาวนั้น นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ถูกสื่อถามว่า “ได้มาสงกรานต์ที่จังหวัดเชียงใหม่เช่นนี้คิดถึงอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์หรือไม่ เพราะปกติในเทศกาลสงกรานต์จะอยู่ด้วยกัน” ทักษิณตอบว่า “นายกฯ ปูอวยพรสงกรานต์ก่อนที่จะเดินทางมาเชียงใหม่แล้ว ก็เลยบอก เดี๋ยวปีหน้าเรามาทำบุญด้วยกัน สงกรานต์ปีหน้านายกฯ ปูคงได้มีโอกาสมาทำบุญ” และสื่อถามย้ำอีกว่าจะกลับมาภายในปีนี้หรือไม่ ทักษิณกล่าวว่า “ตั้งใจอย่างนั้น แต่ยังไม่รู้จะอย่างไร จะกลับมาทางช่องทางไหน เอาความตั้งใจก่อน”
ขณะที่นายเศรษฐา ทวีสิน ได้ตอบผู้สื่อข่าวเรื่องการกลับมาของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แบบไม่มีความมั่นใจตนเอง โดยพูดไปทวนคำไปเหมือนคนติดอ่างว่า “ผู้ต้องคดีการเมืองทุกคนเชื่อว่าหลายท่านอยากกลับบ้านเกิดเมืองนอน และถือเป็นนิมิตหมายที่ดี แต่ขณะนี้ยังไม่มีการประสานมายังรัฐบาล และเชื่อว่าทุกกระบวนการเป็นไปตามกฎหมาย ต้องมีขั้นตอนที่จะเข้ามา แต่ขณะนี้ยังไม่มีการประสานมาแต่อย่างใด จริงๆ แล้วไม่ต้องมีการประสานอะไร เนื่องจากมีกระบวนการทางกฎหมายอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อน หากคุณยิ่งลักษณ์ต้องการเดินทางกลับไทย ขั้นตอนต้องเป็นไปตามนักโทษคดีทางการเมืองอื่นๆ เราก็อยากให้กลับมา เพราะถือเป็นนิมิตหมายอันดี ประเทศจะได้เดินไปข้างหน้าได้”
แต่เหนืออื่นใดสิ่งที่น่าคิดก็คือ คำพูดของ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่พูดถึงคดีตนเองกับน้องสาวเรื่องการกลับประเทศไทยจากการให้สัมภาษณ์สื่อที่จังหวัดเชียงใหม่ ว่าคดีของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ไม่ซับซ้อนเหมือนกับตน โดยกล่าวว่า “ของผมเขายัดให้เยอะ ของนายกฯยิ่งลักษณ์มีอันเดียว (คดีเดียว-คดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว)”
คำพูดดังกล่าวของ “ทักษิณ ชินวัตร” ถ้าหากบ้านนี้เมืองนี้หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมไม่ถูกละเมิดจนพิกลพิการ ก็สามารถเอาผิดกับทักษิณได้ เพราะถือว่าการทูลเกล้าฯถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยลดโทษของทักษิณนั้นมีข้อความอันเป็นเท็จ ดังที่นักโทษผู้นี้ระบุและปรากฏในราชกิจจานุเบกษา “พระราชทานอภัยลดโทษ” ลงวันที่ 1 กันยายน 2566 ว่า “ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษาฯ”
ถามว่าถ้าหากถูก “ยัดคดี” ทำไมนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร จึงกล้ากราบบังคมทูลฯ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าวนั้น ว่า “ยอมรับผิด” อันมีผลทำให้เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว จึงพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เหลือโทษจำคุก 1 ปี จากโทษทั้งหมด 8 ปี คือคดีทุจริต “คดีหวยบนดิน” โทษจำคุก 2 ปี, “คดีเอ็กซิมแบงก์” โทษจำคุก 3 ปี และ “ปล่อยให้นอมินีถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ” โทษจำคุก 5 ปี
ขณะที่นายเศรษฐา ทวีสิน ก็เช่นเดียวกันที่พูดบิดเบือน เมื่อถูกสื่อถามเรื่อง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จะกลับบ้านโดยกล่าวกับสื่อว่า “ผู้ต้องคดีการเมืองทุกคนเชื่อว่าหลายท่านอยากกลับบ้านเกิดเมืองนอน” ซึ่งประเด็นนี้ไม่ว่ายิ่งลักษณ์จะเป็นน้องสาวใคร หรือเป็นคนสนิทชิดเชื้อของใครก็ตาม นายเศรษฐาต้องไม่ลืมว่า ความผิดติดตัวยิ่งลักษณ์นั้นไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นคดีทุจริตประพฤติมิชอบต่อหน้าที่ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวจากการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)
สองประการสำคัญที่คดีทุจริตของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ต่างจากคดีการเมือง เพราะประการแรก นอกจากรัฐจะเสียหายเป็นเงินถึง 9.57 แสนล้านบาท และต้องตามชดใช้หนี้คืนให้แก่ ธ.ก.ส.จนทุกวันนี้ก็ยังใช้ไม่หมด อีกประการหนึ่ง ยังมีรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงพาณิชย์ต้องติดคุกอยู่จนทุกวันนี้อีกหลายสิบคน
อาทิ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ติดคุก 48 ปี, นายภูมิ สาระผลอดีตรัฐมนตรีช่วยฯพาณิชย์ ติดคุก 36 ปี นายมนัสสร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าข้าวต่างประเทศ ติดคุก 40 ปี, นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมค้าข้าวต่างประเทศ ติดคุก 32 ปี และรวมทั้งนายอภิชาติ จันทร์สกุลพรหรือเสี่ยเปี๋ยง พ่อค้าข้าว ติดคุก 48 ปี เป็นต้น
สรุปแล้ว จนถึงวันนี้ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็ยังไม่เคยสำนึกว่าตนเองได้กระทำความผิด มีแต่ยิ่งเหิมเกริมเมื่อพรรคเพื่อไทยได้อำนาจเป็นรัฐบาล พร้อมทั้งยังแสดงตนอย่างเปิดเผยว่าเป็นเจ้าของคอกตัวจริง
มิหนำซ้ำ ยังคิดว่า “ตระกูลชินวัตร” จะเอาอะไรก็ได้ในประเทศนี้ โทษของตนเองยังไม่ทันจะพ้น กลับวางแผนจะพาน้องสาวกลับบ้านแบบ “เทวดาตัวใหม่” โดยไม่ต้องติดคุกอีกคนหนึ่ง !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี