วันนี้ (29 พฤษภาคม), “ทักษิณ ชินวัตร”จะถูกอัยการสูงสุดสั่งฟ้อง“คดีมาตรา 122”หรือไม่..เป็นเรื่องที่คนในแวดวงการเมืองและผู้ที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองให้ความสนใจ
ไม่มีใครคาดการณ์เป็นการล่วงหน้าได้..ว่าอัยการสูงสุดหรือพนักงานอัยการเจ้าของคดี จะมีความเห็นอย่างไร เพราะผู้ต้องหา..คือนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร นั้น..ในวันนี้มิอาจปฏิเสธได้ว่า--ทักษิณ คือผู้ทรงอิทธิพลที่มี“อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ”ตัวจริงเสียงจริง
นักการเมืองในพรรคเพื่อไทยและคนในแวดวงการเมือง..รู้ดีว่า“ทักษิณ ชินวัตร”สามารถชี้นิ้วบงการนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ“เศรษฐา ทวีสิน”ได้..เพราะการที่เศรษฐาขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ในวันนี้ ก็เพราะ“อำนาจ-บารมี”ของทักษิณในฐานะเจ้าของพรรคเพื่อไทยโดยพฤตินัย
“เศรษฐา ทวีสิน” ซึ่งเป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย จึงถูกเสนอชื่อให้สมาชิกรัฐสภาลงมติเห็นชอบเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566...นั่นก็เพราะต้องผ่านการชั่งใจถึงผลได้ผลเสียของ“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นอย่างดีแล้ว
ตัวเลือกจึงไม่ใช่อีกสองแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย..คือ“อุ๊งอิ๊ง, แพทองธาร ชินวัตร”กล่องในดวงใจของ“ทักษิณ ชินวัตร” และนายชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุด ที่รับใช้ใกล้ชิดทักษิณมาตั้งแต่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี และเมื่อเกษียณจากราชการก็เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในสมัยรัฐบาล“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
ดังนั้นทุกเรื่องที่อยู่ในอำนาจของฝ่ายบริหาร..ภายใต้รัฐบาลที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี หาก“ทักษิณ ชินวัตร”ประสงค์สิ่งใด..ย่อมเป็นเรื่องที่“เศรษฐา”และรัฐบาลมิอาจปฏิเสธได้
9 เดือนกับ 7 วัน นับจนถึงวันนี้--ที่“ทักษิณ ชินวัตร”กลับเข้ามาในประเทศไทย..หลังจากหนีคดีไปหลบอยู่ที่ดูไบกว่า 15 ปี ถามว่ามีอะไรที่ทักษิณต้องการแล้วไม่ได้บ้าง
โทษก็ได้ลด-จาก 8 ปีเหลือ 1 ปี..คุกก็ไม่ต้องติด แต่ได้รับการพักโทษ..ได้รับการพักโทษก็ไม่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของกรมควบคุมประพฤติ ไปไหนมาไหนได้เหมือนสุจริตชนคนทั่วไป กำไล EM ก็ไม่ต้องติดข้อเท้า-คงไม่ต้องถามว่ามีนักโทษคนใดในประเทศนี้เกือบ 3 แสนคนที่มีอภิสิทธิ์เหมือน“ทักษิณ ชินวัตร”บ้าง
แต่เรื่องเกี่ยวกับคดี 112 นั้น อยู่นอกเหนืออำนาจฝ่ายบริหาร..เนื่องจากสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นส่วนราชการอิสระ ไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล..ซึ่งรัฐบาลจะไปแทรกแซงหรือสั่งการเหมือนกรมราชทัณฑ์และกรมควมคุมประพฤติจะด้วยวิธีการใดก็ตาม—คงไม่ใช่เรื่องง่าย
ด้วยเหตุนี้-คดีมาตรา 112 ของทักษิณ ชินวัตร จึงยากที่จะคาดเดาหรือคาดการณ์ได้..แต่อย่างน้อยก็มีสามทางเลือก
ทางเลือกแรก-อัยการสูงสุดใช้บรรทัดฐานของ ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อดีตอัยการสูงสุด ที่มีความเห็นสั่งฟ้อง“ทักษิณ ชินวัตร”มาแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยาน 2559
แต่ความเห็นสั่งฟ้องในคราวนั้นไม่สามารถดำเนินการต่อได้..เพราะ“ทักษิณ ชินวัตร”หลบหนีคดีทุจริตโกงชาติโกงแผ่นดินอยู่ในต่างประเทศ ทางอัยการสูงสุดจึงแจ้งให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)นำตัวผู้ต้องหามาฟ้องภายใน 15 ปี—หมายความว่า“จับตัวมาให้ได้”ภายใน 15 ปีตามอายุความของคดีนี้
เมื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”ยอมจำนนขอกลับเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566..ทางกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ได้ทำการอายัดตัวเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2566 พร้อมส่งตัวให้พนักงานสอบสวน และพนักงานสอบสวนก็ได้ปล่อยตัวชั่วคราวในวันเดียวกันนั้น
จนกระทั่งเมื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”ได้รับการพักโทษในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 พนักงานสอบสวน บก.ปอท. ได้นำตัวทักษิณมาส่งให้กับพนักงานอัยการ..สำนักงานคดีอาญาในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 19 กุมภาพันธ์..โดยมีนายปรีชา สุขสงวน อธิบดีอัยการ และนายวิพุธ บุญประสาท อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นผู้รับตัว
อย่างไรก็ดี “ทักษิณ ชินวัตร”ได้มีการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมด้วยตนเองก่อนหน้านี้แล้วตามหลักเกณฑ์..และเมื่อนายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน ได้พิจารณาหนังสือร้องขอความเป็นธรรมแล้ว..เห็นว่าคดีมีประเด็นที่ต้องสอบสวนเพิ่มเติม จึงมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม โดยนัดให้ทักษิณมาฟังคำสั่งทางคดีในวันที่ 10 เมษายน 2567 ซึ่งในที่สุดก็ได้เลื่อนนัดมาเป็นครั้งที่สองคือวันที่ 29 พฤษภาคมวันนี้
ความเห็นสั่งฟ้องของอดีตอัยการสูงสุดในปี 2559 นั้นเห็นว่า..“ทักษิณ ชินวัตร”ซึ่งก่อคดีนอกราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2558 ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้..ได้“ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และร่วมกันนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์เป็นเท็จ”
ถ้านายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ ซึ่งจะเกษียณราชการเดือนกันยายนนี้ ยึดบรรทัดฐานของ ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อดีตอัยการสูงสุด เป็นหลัก..ก็เห็นควรต้องสั่งฟ้อง..และจะได้รับการสุดีจากสุจริตชนคนไทยทั่วไป
อีกสองทางเลือกคือ..ไม่สั่งฟ้อง และเลื่อนนัดฟังคำสั่ง ซึ่งถ้าเลื่อนนัดฟังคำสั่งเป็นครั้งที่สอง ก็อยู่ในอำนาจที่พนักงานอัยการจะกระทำได้ โดยอ้างว่า..“สำนวนที่สอบเพิ่มเติมยังไม่ครบถ้วน”..ถือว่าเป็นการประวิงเวลาออกไป-จะด้วยเหตุผลหรืออิทธิพลใดก็มิอาจทราบได้
สำหรับการสั่งไม่ฟ้อง-เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่..สำนักงานอัยการสูงสุดย่อมต้องตกเป็นจำเลยของสังคม..แต่ก็อย่างว่า--ในอดีตสำนักอัยการสูงสุดก็เคยสร้าง“รอยด่าง”ให้เห็นมาแล้วนักต่อนัก
คดีใหญ่ๆ หลายคดีที่มีคนของ“ตระกูลชินวัตร”เป็นผู้ต้องหาหรือเกี่ยวข้อง..ถ้าสำนวนอยู่ในมืออัยการแล้วมักจะรอดทุกคดี ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี