ประสบการณ์ทำข่าวภาคสนามกับนายกรัฐมนตรีไทย ตั้งแต่สมัย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จนถึงรัฐบาลนายชวน หลีกภัย สองสมัย ส่วนใหญ่รายงานเฉพาะข่าวพระราชกรณียกิจอันงดงามของ ในหลวง รัชกาลที่ 9 อาทิ เรื่องโครงการในพระราชดำริกว่าสี่พันโครงการของพระองค์ท่าน และกระแสพระราชดำรัสในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ที่พระองค์ท่านมีประเด็นใหม่ให้รายงานทุกปี
สำนักข่าว ยูพีไอ เคยได้รับพระราชทานอนุญาตให้ น.ส.ซีลวาน่า โฟร์ (Sylvana Foa)ติดตามทำข่าวพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน ในถิ่นทุรกันดารนานถึงสองสัปดาห์ และภายหลังได้รับพระราชทานให้สัมภาษณ์ ในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่พิเศษสุด คือ ทั้งพระองค์ท่านและผู้สัมภาษณ์ประทับนั่ง/นั่งบนพื้นในโรงเรือนที่แสนธรรมดา ด้วยความประทับใจในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่าน ซีลวาน่า บอกผู้เขียนว่า“หาคิงที่ขยันและฉลาดอย่างคิงของยูในโลกนี้ไม่มีแล้ว” ซีลวาน่า บอกด้วยว่า“รู้ไหมคิงของยูทำงานกลางคืนนอนตอนกลางวัน”
และเมื่อย้ายจาก ยูพีไอ มาอยู่กับรอยเตอร์สผู้เขียนถูก Assigned ให้ฟังกระแสพระราชดำรัส ในคืนวันที่ 4 ธันวาคม ทุกปีเพื่อนำกระแสพระราชดำรัสในวันเฉลิมพระชนมพรรษา มารายงานข่าว จำได้ว่าเคยรายงานเรื่องโครงการแก้มลิงและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น กล่าวโดยสรุปคือ ตั้งแต่รัฐบาลพลเอกเปรม ถึงรัฐบาล นายชวน หลีกภัย มีแต่ข่าวแสดงความจงรักภักดีต่อ ในหลวง รัชกาลที่ 9 ไม่เคยมีข่าวจาบจ้างล่วงละเมิดสถาบัน
จนกระทั่งประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ต้องลดค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ที่ นสพ.ผู้จัดการ วันที่ 18 เมษายน 2551 รายงานข่าวครบรอบสิบปีวิกฤตเศรษฐกิจว่า..วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2541 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยกับระบบการลอยค่าการเงินที่ไร้เสถียรภาพ ในยุคนั้นว่า คนส่วนใหญ่ล่มจม แต่พวก “หัวใส” ซื้อตุนเงินเหรียญสหรัฐ เพราะทราบว่าจะลอยค่าเงิน ดังปรากฏความตอนหนึ่งในกระแสพระราชดำรัสอย่างชัดเจนในครั้งนั้นว่า
“เขาพูดกันว่า คนที่เป็นนักธุรกิจส่งนอก บอกว่า เดี๋ยวนี้เงินบาทแข็งเกินไป แต่ก่อนนี้เงินบาทลอยไป ไม่ต้องมีเครื่องบิน ไม่ต้องมีบอลลูนหรอกมันลอยขึ้นไป พวกที่หัวใสในทางเก็งราคา ก็เก็งราคาดอลลาร์ ไปซื้อดอลลาร์ เพราะทราบว่าจะลอย ก็ซื้อดอลลาร์มากมายทีเดียว เมื่อลอยก็ขายได้กำไร ถ้าซื้อล้านบาทก็ได้กำไรกลับคืนมาสองล้านบาทภายในไม่กี่เดือน
ถ้าเงินขึ้นลง บางคนที่ไม่เก่งนัก ซื้อวัตถุดิบมาในราคาแพง แล้วขายสินค้าของเขาในราคาถูก คนเหล่านั้นก็ล่มจม ส่วนใหญ่ นักธุรกิจธรรมดาๆ ก็ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่จะขึ้น เมื่อไหร่จะลงก็เลยผิดจังหวะ เขาก็ล่มจม ในวงการธุรกิจ จึงบอกว่า ล่มจม ส่วนผู้ที่เรียกว่าฉลาด หรือ หัวใสเก็งราคา คือ รู้ว่าเงินมีขึ้นมีลง ก็เล็งเอาตอนที่เหมาะสม ซื้อวัตถุดิบมาในราคาถูก และ ขายสินค้าในราคาแพง อย่างนี้ควบคุมไม่ได้ ก็ทำให้พวกนี้สบาย”
และต่อมา วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม 2542 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีกระแสพระราชดำรัสเกี่ยวข้องกับค่าเงินบาท เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันโดยในปีนั้นทรงพระราชทานคำแปลภาษาอังกฤษจากคำว่า Insider ว่าเป็น “พวกรู้ไส้” ที่ร่ำรวยด้วยการล่วงรู้ข้อมูลและทำกำไรจากค่าเงินบาทภายในไม่กี่วัน แต่ทำให้เศรษฐกิจของชาติพัง ดังปรากฏความตอนหนึ่งในกระแสพระราชดำรัสครั้งนั้นว่า :
“พูดมาก่อนนี้แล้ว พูดมาก่อนที่ผู้ที่เป็นตัวละครในการถกเถียงกัน ได้มาอยู่ในตำแหน่งนั้น พูดมานานแล้ว แต่ว่าถ้าเงิน 20 บาท 25 บาทมั่งต่อดอลลาร์ 50 บาทมั่งต่อดอลลาร์ คนที่ ขอใช้คำว่าหัวใส เขารู้ ไปซื้อดอลลาร์ ในราคา 25 บาท ไม่กี่วันดอลลาร์ขึ้นเป็น 50 บาท เขาขาย 50 บาทได้กำไร 2 เท่า อย่างนั้นเราเห็นว่าคนได้กำไรเราก็ยินดีด้วย ยินดีด้วยกับเขาว่า คนไหนรวยก็ดี แต่ที่ไม่ยินดี เพราะว่า คนไหนที่ได้กำไรโดยมีเทคนิคสูงในการแลกเปลี่ยน หรือ มีความรู้รู้ไส้ ฝรั่งเขาเรียกว่า อินไซเดอร์ ถ้าคนไหนรู้ไส้ของเศรษฐกิจชั้นสูงๆ อย่างนี้ รวย แต่ว่าคนนั้นรวย ก็อย่างที่ว่า เรายินดีด้วยกับเขา ถ้าเขารวยแล้วใจบุญ แต่ว่าอย่างนี้เศรษฐกิจพัง พังเพราะอย่างนี้ จะไม่พูดว่าอันนี้เป็นทุจริต แต่ว่าได้พูดไปแล้ว”
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากที่ รัชกาลที่ 9 ทรงมีกระแสพระราชดำรัสเรื่อง Insider สำนักข่าวต่างประเทศได้รับข่าวใส่ร้ายข่าวในแง่ลบต่อสถาบันสูงสุดของชาติส่งมาในอินบ็อกซ์มากขึ้น ในบางกรณีสำนักงานใหญ่ในลอนดอนส่งข้อความภายในมาให้รอยเตอร์สกรุงเทพฯตรวจสอบและรายงานข่าวนั้นโน่นนี้ออกไปแต่โชคดีที่ เควิน คูนี่ หัวหน้าสำนักข่าวรอยเตอร์สตอนนั้น ตอบไปว่า “เป็นข่าวลือที่ตรวจสอบไม่ได้ และเสนอข่าวทำนองนี้ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ”
อย่างไรก็ตาม ข่าวที่เราไม่เสนอกลับไปปรากฏในสื่ออื่นๆ มากขึ้น จนมีข่าวลือว่า นักธุรกิจการเมืองในประเทศไทยจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์และล็อบบี้ยิสต์ใสหรัฐอเมริกาให้เสนอข่าวทำลายความมั่นคงภายในของไทยพร้อมๆไปกับเสนอข่าวประชาสัมพันธ์ให้นักธุรกิจการเมืองคนนั้นดูดี
ในเวลาเดียวกัน ขณะนั้นมีการก่อตั้งพรรคไทยรักไทยที่มีอดีตทหารป่า คนเดือนตุลา เป็นผู้ร่วมก่อตั้งหลายคน มีรายงานว่า อดีตทหารป่ากับคนเดือนตุลาที่อุดมการณ์ต่อต้านสถาบันฯ ผลักดันให้มีปฏิญญาฟินแลนด์ จึงกำหนดให้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย วันที่14 กรกฎาคม 2541 14 กรกฎาคม ซึ่งตรงกับวันปฏิวัติฝรั่งเศสการก่อตั้งพรรคครั้งนั้นจึงมีนัยสำคัญถึงท่าทีมีต่อสถาบันฯ
หลังจากก่อตั้ง ทรท. อย่างเป็นทางการคณะประชาสัมพันธ์พรรคออกเดินสายสร้างความสัมพันธ์กับสำนักข่าวต่างประเทศ เท่าที่จำได้นายจักรภพเพ็ญแข เป็นหนึ่งในคณะประชาสัมพันธ์พรรคไทยรักไทย นายจักรภพ มักคลุกคลีอยู่ในสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ หรือ FCCT ที่ผู้บริหารมีความคิดมีอุดมการณ์ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่นั้นมามีข่าวหลายครั้งว่านายจักรภพ กับ นายโจนาธาน เฮด ถูกกล่าวหาละเมิด กฎหมายอาญา มาตรา 112
ข่าวหมิ่นเหม่ละเมิด มาตรา 112 ที่มาจากต่างประเทศส่วนใหญ่ได้รับการขยายความใส่สีตีไข่ในFCCT แล้วแพร่หลายต่อไปในเครือข่าย ไทยรักไทย และ นานวันเข้าข่าวใส่ร้ายสถาบันมีขึ้นพร้อมๆกันกับข่าวโจมตีสถาบันในประเทศไทย จนจำแนกไม่ออกว่าที่จริงแล้วฝรั่งเขียนส่งมา หรือว่าคนไทย เขียนส่งไปให้ ตัวอย่างเช่น #ข่าวที่ CFR เสนอเรื่องอัยการสั่งฟ้องนายทักษิณที่พาดพิงถึงสถาบันสูงสุด เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา จำแนกออกไม่ว่าเขียนมาจากญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา หรือว่าเขียนไปจากประเทศไทย
เมื่อมองย้อนกลับไปในปี 2544 ทันทีที่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ถูกตำหนิติฉินนินทาว่า ทำตัวเสมอท่านที่มีเครื่องบินประจำตำแหน่งชื่อไทยคู่ฟ้า แต่ทักษิณ ไม่ยี่หระต่อคำติฉินนินทาต่อมาเขานั่งรถไฟขบวนพิเศษ เหมือนขบวนเสด็จออกตรวจงานภาคอีสานที่มีชาวบ้านโบกธงชาติติดคำว่า“ทรงพระเจริญ” ต้อนรับตามสถานีต่างๆตลอดการเดินทาง ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ในเวลานั้นเปิดเผยว่าตู้พิเศษมูลค่า 50 ล้านบาท สร้างขึ้นมาสำหรับคณะรัฐมนตรีโดยสารตรวจงานทริปนี้โดยเฉพาะ
ทักษิณคงรู้สึกว่า ตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่และอิ่มอกอิ่มใจที่ได้ทำตัวเสมอท่าน ดังที่เห็นภาพในงานพระราชพิธีสำคัญที่มีขึ้นในพระราชวัง ทักษิณยืนรอต้อนรับจับมือกับพระราชอาคันตุกะก่อนหน้าพระราชอาคันตุกะเข้าเฝ้าสัมผัสพระหัตถ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และเขาทำตัวเสมอท่าน แม้กระทั่งนั่งเป็นประธานทำบุญประเทศในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง และมีหลายครั้งที่คำพูดของทักษิณในที่สาธารณะหมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ จนทหารใช้เป็นหนึ่งในเงื่อนไขยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549
และหลังถูกยึดอำนาจทักษิณเที่ยวเร่ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศหลายครั้งที่หมิ่นเหม่ต่อการดูหมิ่นสถาบันฯ ในเวลาเดียวกันขบวนการแดงทั้งแผ่นดินผู้สนับสนุนทักษิณจัดเวทีปราศรัยเรียกร้องให้นายทักษิณได้กลับบ้าน ในเวทีปราศรัยมีหลายครั้งที่ลามไปถึงโจมตีใส่ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ผู้ปราศรัยหลายคนถูกดำเนินคดี หลายคนหนีภัยลี้ภัยไปต่างประเทศ สรุปว่าในทศวรรษแห่งความมืดมนขบวนการแดงทั้งแผ่นดิน
ผู้สนับสนุนและสมุนบริวารทักษิณจัดตั้งวิทยุท้องถิ่นโจมตีสถาบันฯทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน แต่ไม่เคยมีใครฟ้องร้องเขาได้
จนกระทั่ง ทักษิณให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ พาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2558 ต่อมาในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 อัยการสูงสุด สั่งฟ้องนายทักษิณในข้อหาฝ่าฝืน มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ขณะที่ ทักษิณหนีคุกหนีศาลอยู่ต่างประเทศ ผู้บัญชาการทหารบกในเวลานั้นมอบหมายให้กรมพระธรรมนูญทหารเป็นโจทก์ร่วมในการฟ้องคดีนี้ และเวลาเดียวกันหน่วยงานมั่นคง เสนอให้รัฐบาลทำเรื่องถอดยศพันตำรวจโททักษิณ รวมทั้งยกเลิกหนังสือเดินทางไทยของ นายทักษิณ ชินวัตร จึงอนุมานได้ว่า กองทัพบกมีพยานหลักฐานแน่นหนาว่า นายทักษิณ ดูหมิ่นสถาบันฯ และเป็นภัยต่อความมั่นคง อัยการสูงสุดจึงได้สั่งฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร ในข้อหาฝ่าฝืนมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยให้นายทักษิณไปรายงานตัวต่ออัยการวันที่ 18 มิถุนายนเพื่อนำตัวจำเลยขึ้นฟ้องศาล
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี