วันอาทิตย์ ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2568
การแบ่งการบริหารราชการของไทยเป็น 3 ประเภทที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ คือราชการบริหารส่วนกลางราชการบริหารส่วนภูมิภาค และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น นั้น ได้มีจุดเริ่มต้นขึ้นในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ในสมัยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี พระยาพหลพลพยุหเสนาแต่เดิมนั้นเราไม่มีราชการบริหารส่วนท้องถิ่นดังนั้นการเสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 จึงถือได้ว่าเป็นการปฏิรูปราชการหรือการบริหารราชการที่ต้องการ จะกระจายอำนาจในการบริหารลงไปยังชุมชนต่างๆ ในระดับล่างให้มากขึ้นนั่นเอง ทั้งนี้น่าจะเดาได้ว่านี่เป็นเจตนาของรัฐบาลของคณะราษฎรที่ต้องการให้ราษฎรในชนบทได้เรียนรู้ถึงการปกครองตนเอง อย่างใกล้ชิด จะได้สนับสนุนการสร้างประชาธิปไตยระดับชาติของคณะราษฎรด้วย ที่จริงร่างกฎหมายฉบับนี้ได้คิดกันทันทีภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่เนื่องจากเกิดความขัดแย้งกันขึ้น จนหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ซึ่งเป็นคนที่ได้รับทำในเรื่องนี้ ต้องเดินทางออกนอกประเทศไปฝรั่งเศส เรื่องจริงค้างมา และพระยามโนได้ไปออกพระธรรมนูญราชการฝ่ายพลเรือนแทนเมื่อหลวงประดิษฐ์ฯ กลับมาแล้ว จึงได้มาสะสางร่างกฎหมายฉบับนี้จนเสร็จเรียบร้อย สามารถมานำเสนอได้อย่างรวดเร็ว
“เราจะจัดรูปราชการให้เข้าตามลักษณะการดังที่เขานิยมใช้กันในประเทศต่างๆ คือเราจัดเป็นส่วนกลาง เป็นภูมิภาค และเป็นท้องถิ่นสำหรับส่วนกลางนั้น คือคณะรัฐมนตรีรับมอบหมายเช่น มีกระทรวง ทบวงและกรม ส่วนภูมิภาคหมายถึงจะส่งข้าราชการไปประจำแต่เดิมมีมณฑลจังหวัดอำเภอ… สำหรับเรื่องราชการบริหารส่วนท้องถิ่นนั้น หมายความถึงเรื่องเทศบาล ซึ่งรัฐบาลได้แถลงเป็นนโยบายไว้แล้ว จึงควรยกอำนาจบางอย่างให้ท้องถิ่นเขาทำ เพราะฉะนั้นจึงแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ
1. ราชการบริหารส่วนกลาง
2. ราชการบริหารส่วนภูมิภาค
3. ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น”
หลังจากประดิษฐ์ฯแถลงเสร็จ พระยาปรีดานฤเบศร์ ได้ถามว่า “เกี่ยวด้วยศาลหรือเปล่า” คำตอบของประดิษฐ์ฯคือ “ไม่เกี่ยวเลย”
ที่ประชุมสภาฯมีมติเห็นด้วยกับหลักการตามที่เสนอ และได้มีการพิจารณาต่อไปในวาระที่ 2 และ 3 โดยใช้เป็นอนุกรรมการเต็มสภาฯ ในการพิจารณาเรียงมาตรานั้นได้มีการซักถามเพื่อความเข้าใจอันดี ซึ่งคำตอบที่อธิบายอันน่าสนใจนั่นคืออธิบายถึงคำว่าทบวง กับทบวงการเมือง
“คำว่า “ทะบวง” ซึ่งเราได้เคยใช้เรียกขานโดยทั่วๆไปนั้น หมายถึงส่วนราชการอย่างหนึ่ง ส่วนคำว่า“ทะบวงการเมือง”นั้น หมายถึงส่วนราชการที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล คือเป็นคำรวมของกระทรวง ทะบวง กรม เพราะฉะนั้น “ทะบวง” จึงเป็นทะบวงการเมืองเสมอไป แต่ “ทะบวงการเมือง “ไม่เป็น” ทะบวง “เสมอไป”
จบลงด้วยการพิจารณาในวาระที่ 3 ที่สภาฯได้มีมติผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ให้ออกมา ต่อจากนั้นจึงได้มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ปรับปรุงกระทรวง ทะบวง กรม ติดต่อกันไปเลย โดยจัดแจงให้มีกระทรวงเพียง 8 กระทรวง และมีทะบวง 1 แห่ง คือสำนักนายกรัฐมนตรี และให้เปลี่ยนชื่อกระทรวงพระคลังเป็นกระทรวงการคลัง กับมีกระทรวงวังอยู่ด้วย ทั้งนี้ทางรัฐบาลได้ส่งพระยานิติศาสตร์ไพศาลและหม่อมเจ้า
วรรณไวทยากร วรวรรณ ไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและมาถ่ายทอดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระกระแสรับสั่งว่าเป็นความคิด
ที่ทรงเห็นพ้องด้วย ในการพิจารณาในวาระที่ 2 ก็ได้นำเสนอว่ามีการตั้งกรมใหม่ เช่น กรมพลศึกษา หรือเปลี่ยนชื่อใหม่กรมใหม่เช่นกรมนคราทร เป็นกรมโยธาเทศบาล โดยสภาฯมติผ่านกฎหมายนี้ในวันนั้น
นรนิติ เศรษฐบุตร

ด่วน! ‘ทหารช่างนย.’เหยียบทุ่นระเบิด‘บ้านหนองรี’ ขณะเสริมความมั่นคงพื้นที่
‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ เสด็จฯบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ ‘สมเด็จพระพันปีหลวง’
ยิปซีพยากรณ์ดวงรายวัน ประจำวันอาทิตย์ 21 ธันวาคม 2568
ไขกระจ่าง! ‘ทภ.2’เปิด 10 คำตอบเคลียร์ชัดๆความหมาย‘สิ้นสภาพเป็นภัยคุกคาม’
‘เพื่อไทย’เปิด 10 หลักคิด‘เศรษฐกิจ’ ก่อนทยอยเปิดนโยบายสู้ศึกเลือกตั้ง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี