ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทย ได้มีการกล่าวถึงอาณาจักรต่างๆ และอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งที่มีการพูดถึงกันอยู่คืออาณาจักรหริภุญชัย และเมื่อเอ่ยถึงอาณาจักรนี้ ก็จะต้องกล่าวถึงพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองที่เป็นสตรีเพศผู้ยิ่งใหญ่มาก
ประวัติของพระนางจามเทวีได้ถูกบันทึกไว้ในหลายรูปแบบ ทั้งในลักษณะของตำนานพื้นบ้านศิลาจารึก เอกสารโบราณจามเทวีวงศ์ ตำนานมูลศาสนา และชินกาลมาลีปกรณ์ ซึ่งแต่ละบันทึกจะมีเนื้อความที่แตกต่างกันอยู่บ้าง จึงขึ้นอยู่กับว่า จะนำส่วนใดของบันทึกต่างๆ นั้นมานำเสนอ
ได้กล่าวกันไว้ว่า พระองค์เป็นธิดาของคหบดีชาวหริภุญชัย อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งปัจจุบันคืออำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน พระราชสมภพเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๑๑๗๖ เมื่อมีพระชนม์ได้ ๓ เดือนได้ถูกนกยักษ์โฉบเอาขึ้นไปบนฟ้า และได้รับการช่วยเหลือจากสุเทวฤาษี แผ่เมตตาจนนกปล่อยทารกน้อยลงมา จึงเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งเมื่อตรวจสอบดวงชะตาก็พบว่า วาสนาจะเป็นถึงจอมกษัตริย์ จึงสมควรจะส่งไปยังราชสำนักแห่งกรุงละโว้ ซึ่งเจริญที่สุดในสุวรรณภูมิเวลานั้น
เมื่อพระองค์พระชนมายุ ๑๓ พรรษา จึงถูกส่งลงแพล่องไปตามน้ำ เมื่อถึงกรุงละโว้ได้สร้างความประหลาดใจแก่ชาวเมืองเพราะแพนั้นมิได้ลอยต่อไป ชาวบ้านช่วยกันดึงแพเข้าสู่ฝั่งก็ไม่สำเร็จ จนความทราบถึงพระเจ้าจักรพรรดิผู้ครองกรุง จึงเสด็จพร้อมด้วยมเหสีไปยังท่าน้ำวัดชัยมงคลซึ่งแพลอยค้างอยู่ และเป็นเหตุอัศจรรย์เมื่อพระองค์สามารถดึงแพโดยไม่ได้ใช้พละกำลังก็ลากแพเข้าสู่ท่าน้ำได้ ทำให้พระองค์เชื่อว่ากุมารีนางนี้เป็นผู้มีบุญญาธิการ จึงทรงชุบเลี้ยงไว้ในราชสำนักเป็นอย่างดี และให้พระนามว่าพระนางจามเทวี
พระราชครูได้พยากรณ์ดวงชะตาของกุมารีน้อยนี้ไว้ว่า “กุมารีน้อยผู้นี้ เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งบุญญานุภาพและพระบารมีอันยิ่งใหญ่ ต่อไปภายหน้าจะได้เป็นถึงจักรพรรดินี ครองแว่นแคว้นปรากฏพระเกียรติยศเกริกไกรไปทั่ว”
พระเจ้ากรุงละโว้มีความโสมนัสเปี่ยมพระทัย และเนื่องจากพระองค์ยังมิได้มีพระโอรสพระธิดา จึงจัดพระราชพิธีอภิเษกให้ดำรงพระยศเป็นพระธิดาแห่งกรุงละโว้ เฉลิมพระนามใหม่ว่าเจ้าหญิงจามเทวี ศรีสุริยวงศ์บรมราชขัตติยนารี รัตนกัญญา ลวะปุรีราเมศวร
ในวันประกอบพิธีนั้น เจ้าหญิงพระองค์แรกแห่งนครลวะปุระทรงถวายสัตย์ปฏิญาณว่า “ ข้าฯขอกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันพิทักษ์รักษากรุงละโว้ว่า ข้าฯจะเป็นมิตรที่ดีต่อท่านทั้งหลาย จะขอปกปักพิทักษ์อาณาจักรละโว้ด้วยชีวิต จะปฏิบัติทุกทางที่จะยังความสุขให้ทั่วพระราชอาณาจักรแห่งนี้”
เมื่อพระองค์มีพระชนมายุ ๒๐ พรรษา ทรงมีพระสิริโฉมงดงามเป็นที่เลื่องลือไปยังอาณาจักรใกล้เคียง ความงดงามของพระองค์ถูกบรรยายไว้ว่า “พระพักตร์เป็นรูปไข่ พระเนตรดำซึ้งเป็นแวววาวและต้องผู้ใดแล้วผู้นั้นให้งงงวยไปด้วยพิษเสน่หา พระขนงโก่งเรียวยาวประดุจคันธนูขณะน้าวสาย พระนาสิกคมสันรับกับพระพักตร์ มีพระโอษฐ์แดงดุจชาดป้าย พระทนต์เรียบขาวสะอาดเป็นเงางาม ดุจไข่มุก ขณะยุรยาตรกายอันอ่อนไหวให้ชวนพิศ เวลาก้าวพระบาทนั้นดุจพระนางหงส์เมื่อเยื้องย่างกาย พระวรกายหอมดังกลิ่นดอกบัวหลวง หาสตรีใดเทียบมิได้”
พระเจ้ากรุงละโว้ได้กระทำพิธีหมั้นหมายพระนางจามเทวีกับเจ้าชายรามราชแห่งเมืองรามบุรีซึ่งเป็นแคว้นที่อยู่ใกล้เคียง แต่เพราะความงามลือเลื่องนี้ จึงทำให้เจ้าชายแห่งเมืองโกสัมพีได้ส่งเครื่องบรรณาการมาสู่ขอ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจึงยกทัพมาเพื่อจะเข้าต่อรบกับละโว้
กองทัพโกสัมพีมีกำลังหลายหมื่นคน มากมายกว่าฝ่ายเมืองละโว้ ทำให้พระเจ้ากรุงละโว้เกือบจะต้องยอมรับไมตรีจากเมืองโกสัมพีแต่พระนางจามเทวีกลับตัดสินใจที่จะนำทัพออกรบเอง การศึกครั้งนี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายสูญเสียมาก พระนางจึงตัดสินพระทัยให้นายทัพของแต่ละฝ่ายเข้าต่อสู้กันตัวต่อตัว โดยพระนางเองก็ต่อสู้กับเจ้าชายโกสัมพีจนได้รับชัยชนะ ทำให้เจ้าชายเชือดพระศอตัวเองเสียชีวิต กองทัพโกสัมพีจึงยอมพ่ายแพ้
ประมาณปีพ.ศ ๑๒๐๒ สุกกทันตฤาษีซึ่งเป็นสหายกับสุเทวฤาษีได้เดินทางมายังกรุงละโว้เพื่อขอพระนางจามเทวีไปเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองใหม่ที่ฤาษีทั้งสองได้สร้างขึ้น คือเมืองหริภุญชัยหรือเมืองลำพูนในปัจจุบันนี้ ซึ่งพระราชบิดาก็ทรงอนุญาต พระนางจึงเสด็จมายังเมืองหริภุญชัยพร้อมกับราษฎร ซึ่งมีความสามารถในด้านต่างๆ ด้านละ ๕๐๐ คน โดยมีพระเถระ ๕๐๐ รูปเช่นกันตามมาด้วย ส่วนพระสวามี มิได้ตามมาเนื่องจากได้ออกบวชไปก่อนนั้น ทรงใช้เวลาเดินทางเรือเป็นเวลา ๗ เดือน อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญมาด้วย ๒ องค์ คือพระแก้วขาว ซึ่งขณะนี้เชื่อกันว่าประดิษฐานอยู่ที่วัดเชียงมั่นจังหวัดเชียงใหม่ และพระรอดหลวงซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาวัน จังหวัดลำพูน
อาณาจักรหริภุญชัยในยุคนั้นจึงมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง ประชาราษฎรร่วมกันอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง มีการสร้างวัดถึง ๒,๐๐๐ วัด และวัดประจำทิศต่างๆ อีก ๔ วัดเพื่อเป็นพุทธปราการด้วย ในด้านการรบนั้นพระองค์ทรงฝึกให้มีการซ้อมรบของกองทัพเพื่อเตรียมพร้อมรับผู้รุกรานอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นกษัตริย์เพศสตรีที่มีพระปรีชาสามารถในทุกด้าน
พระองค์ได้ให้กำเนิดพระโอรส ๒ พระองค์ซึ่งติดมาในพระครรภ์ตั้งแต่ยังทรงอยู่ที่เมืองละโว้ มีพระนามว่าพระมหันตยศ ซึ่งต่อมาได้ปกครองหริภุญชัย และ พระอนันตยศ ซึ่งต่อมาได้ปกครองเมืองเขลางค์ ซึ่งก็คือเมืองลำปางในปัจจุบันนี้
เรื่องราวของพระองค์ยังมีอีกมากที่ถูกกล่าวไว้ เช่น การทำสงครามกับขุนวิลังคะและเรื่องของช้างผู้ก้ำงาเขียว
พระองค์ทรงปกครองหริภุญชัยจนพระชนมายุ ๖๐ พรรษา จึงมอบราชสมบัติให้กับพระมหันตยศ เพื่อดูแลราชการแผ่นดินทั้งปวง ทรงละจากเพศฆราวาส ประทับทรงศีลที่วัดจามเทวี และทำนุบำรุงพุทธศาสนาอย่างมาก จนเสด็จสวรรคต เมื่อปีพ.ศ.๑๒๗๔ รวมพระชนมายุได้ ๙๘ พรรษา
จะเห็นว่าสตรีผู้ใดก็ตาม หากเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ในทุกด้าน มีความเฉลียวฉลาด รวมทั้งความกล้าหาญ ตลอดจนสะสมประสบการณ์ ในการที่จะเป็นผู้นำ ก็ย่อมทำให้อาณาจักรหรือชาตินั้นมีความเจริญรุ่งเรือง ประชาราษฎรอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขได้
ขณะนี้ประเทศไทย ก็ได้ผู้นำที่มาตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่เป็นสตรีเพศอีกผู้หนึ่ง หลังจากที่ประเทศเคยประสบความล้มเหลวจากการมีผู้นำที่เป็นสตรีเพศมาแล้วระหว่างปี ๒๕๕๔ -๒๕๕๗ โดยเฉพาะในเรื่องของการสั่งการเรื่องน้ำท่วม จนเกือบจะเรียกได้ว่าน้ำท่วมเกือบทั้งแผ่นดิน เกิดความเสียหายต่อชาติอย่างมากมาย แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือการกระทำทุจริตประพฤติมิชอบ คอร์รัปชั่น จนต้องคดีและหลบหนีไปอยู่ที่ประเทศอื่น
นายกรัฐมนตรีหญิงคนใหม่นี้ ก็สืบเชื้อสายมาจากตระกูลเดียวกัน ถึงแม้จะอ้างว่าได้รับการเลือกให้เป็นนายกฯ ตามระบอบประชาธิปไตย แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีถึงที่มาที่ไปซึ่งผูกโยงไปถึงอำนาจและอิทธิพลทางการเงินของอดีตนายกฯชายคนหนึ่งซึ่งก็เป็นนักโทษเช่นกัน ที่ทำให้บุคคลผู้นี้ได้เป็นนายกฯคนใหม่แต่ที่สำคัญคือสติปัญญา วุฒิภาวะ และ ประสบการณ์ มีความเหมาะสมกับตำแหน่งหรือ
ดูเหมือนว่าดวงของนายกฯคนใหม่นี้ จะไม่ต่างจากคนเดิมที่เมื่อเข้ารับตำแหน่ง ก็จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ โดยครั้งนี้ก็เช่นกันที่ได้เกิดน้ำท่วมทำความเสียหายให้แก่บ้านเมืองทางเหนือหลายจังหวัด โดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้คนเชียงราย จดจำเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
ก็หวังว่าน้ำที่ท่วมในคราวนี้ จะได้พัดพาสิ่งที่เป็นขยะปฏิกูลในการปกครองหรือบริหารบ้านเมือง ที่ทำให้บ้านเมืองต้องประสบภาวะวิกฤตในหลายด้านโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ประชาชนจำนวนไม่น้อยต้องยากจนข้นแค้น บ้านเมืองไม่มีความเจริญก้าวหน้า และประชาชนเริ่มแตกสามัคคีมากขึ้นให้หมดไปด้วย
เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสตรีเพศที่มาปกครองบ้านเมืองคนใหม่นี้ จะสามารถกอบกู้บ้านเมืองให้กลับขึ้นมาดีดังเดิมได้หรือไม่ ขอให้ใช้โอกาสในคราวนี้ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลกลับคืนมาได้บ้าง
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี