ในบรรดาคำร้องที่ได้ร้องเรียนเป็นคดีความต่างๆ ถึง 15 คดี ที่ร้องต่อหน่วยงานต่างๆ ให้ดำเนินคดีอาญากับนายกฯอุ๊งอิ๊งค์บ้าง ให้ถอดถอนนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ออกจากตำแหน่งบ้าง และให้ยุบพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลบ้างนั้น ต้องถือว่าคำร้องหกข้อหาที่ขอให้ยุบพรรคเพื่อไทย โดยกล่าวหาว่าล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความหนักหน่วงมากที่สุด
ผู้ที่ร้องเรียนเรื่องนี้แม้จะปรากฏชื่อนักกฎหมายหนุ่มคนหนึ่งแต่ก็ไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียงเสียทีเดียว เพราะมีผลงานปรากฏเด่นชัดไม่ได้ด้อยกว่านักร้องคนใดเลย นั่นคือผลงานในการยุบพรรคก้าวไกล จนต้องมาตั้งเป็นพรรคประชาชนในปัจจุบันนี้
กระบวนท่าในการร้องจะมีสองกระบวนท่า กระบวนท่าแรกก็จะกล่าวหาว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญ ที่จะมีผลต่อไปให้มีการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดการกระทำนั้นเสีย
ส่วนกระบวนท่าที่สองจะต่อเนื่องจากกระบวนท่าแรก คือเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดการกระทำนั้นแล้วก็จะอ้างเป็นฐานความผิดว่าการกระทำทั้งหลายนั้นจะเป็นทางที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นผลให้มีการยุบพรรคก้าวไกลมาแล้ว
ดูลีลาของผู้ร้องแล้ว คนที่เป็นนักกฎหมายที่พอมีประสบการณ์ก็จะอ่านความได้ว่า การทำคำร้องดังกล่าวนี้ไม่ใช่ทำแบบขอไปที หรือสุกเอาเผากิน หรือทำแบบตื้นๆ แต่เป็นการรวบรวมข้อมูลหลักฐานที่แน่นหนาหนักหน่วงรุนแรงและเป็นระบบอย่างยิ่ง เพราะแต่ละเรื่องที่กล่าวหาสามารถพิสูจน์ความจริงนั้นและเมื่อรวมกันทั้งหมดแล้วก็จะกลายเป็นการล้มล้างการปกครอง
ซึ่งแต่ละจุดแต่ละเรื่องอาจจะเห็นไม่ชัดว่าเป็นการล้มล้างการปกครองอย่างไร แต่เมื่อรวมเข้าด้วยกันทั้งหมดแล้วก็จะหนักแน่นหนักหน่วงว่ามีผลเป็นการล้มล้างการปกครอง จนเป็นที่มาแห่งวาทกรรมที่โด่งดังที่สุดแห่งยุค นั่นคือวาทกรรมทางกฎหมายที่ว่าเซาะกร่อน บ่อนเซาะอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง
และแล้วก็มีการยื่นคำร้องในกระบวนท่าแรกนี้เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้พรรคเพื่อไทยและคณะกรรมการบริหารพรรคหยุดการกระทำที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง โดยมีการตั้งข้อกล่าวหาถึงหกข้อ
และถ้าพิจารณาข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหาแต่ละข้อแล้วก็จะเห็นได้ว่ายังไม่ถึงขั้นที่จะล้มล้างการปกครอง แต่ถ้าเมื่อรวมทั้งหกข้อหาเข้าด้วยกันก็จะมีน้ำหนักมากพอที่จะเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองเช่นเดียวกับกรณีของพรรคเพื่อไทย
ดังนั้นเรื่องนี้จึงดูแคลนไม่ได้ และดูแคลนการตีฆ้องร้องป่าวของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ที่ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของพรรคเพื่อไทยไม่ได้ด้วย
วันนี้สมควรจะได้ชี้ให้เห็นว่าลีลากระบวนท่าในการทำคำร้องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่เรื่องตื้นๆ ไม่ใช่ลีลาของนักกฎหมายรุ่นใหม่ในปัจจุบันนี้ แต่เป็นลีลาชั้นครูที่เคยปรากฏมาแล้วในอดีต โดยปรมาจารย์คนสำคัญ ซึ่งถือเป็นปรมาจารย์ของพนักงานอัยการทั้งหลายในอดีต นั่นคือนายฟ้อย มะลิขาว ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพนักงานอัยการที่มีฝีไม้ลายมือที่ล้ำลึกและเลื่องชื่อลือชามากที่สุด
นายฟ้อย มะลิขาว ได้แสดงกระบวนท่าวิชานี้ครั้งแรกให้ปรากฏแต่คนทั้งหลาย ในคดีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 ซึ่งคดีมีข้อกล่าวหาหลายประเด็น และแต่ละประเด็นนั้นก็มีพยานหลักฐานรองรับ เป็นแต่ว่าพยานหลักฐานนั้นไม่ใช่ประจักษ์พยาน ซึ่งต้องห้ามตามกฎหมายมิให้ศาลรับฟัง แต่สามารถฟังได้เป็นพยานแวดล้อม
ดังนั้นถ้าจะว่าแต่ละเรื่องกรณีก็จะเป็นว่าไม่สามารถรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นฆาตกรในคดีสวรรคตนั้น
แต่ทว่านายฟ้อย มะลิขาว ได้เขียนคำแถลงการณ์โดยรองรับกับคำคู่ความทั้งหลาย ตั้งเป็นประเด็นปัญหาว่าประเด็นที่มีการกล่าวหาแต่ละข้อนั้นก็เหมือนด้ายเส้นน้อยเส้นหนึ่ง แม้ว่าด้ายแต่ละเส้นไม่สามารถรับน้ำหนักก้อนหินอันใหญ่ได้ แต่เมื่อด้ายที่ร้อยรัดมีหลายเส้น ก็สามารถยกก้อนหินก้อนใหญ่นั้นได้ฉันใด พฤติการณ์แห่งคดีก็เหมือนกัน แต่ละประเด็นแม้ว่าไม่มีประจักษ์พยาน แต่ก็มีพยานแวดล้อมที่จะต้องรับฟัง และเมื่อรับฟังทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องรวมกันได้ก็เหมือนด้ายเส้นน้อยหลายเส้นได้มัดรวมกัน จึงสามารถยกก้อนหินอันมีน้ำหนักได้ คดีจึงต้องฟังว่าจำเลยคือฆาตกรในคดีสวรรคตนั้น เป็นเหตุให้ศาลตัดสินประหารชีวิตจำเลย
ลีลาสำนวนการเขียนคำแถลงการณ์และคำคู่ความดังกล่าวได้หายสาบสูญไปเป็นเวลานานหนักหนาแล้ว แต่ก็ยังสืบทอดกันมาในบรรดานักวิชาชีพชั้นครูในสำนักงานอัยการสูงสุด แม้กระทั่งผู้พิพากษาที่ใฝ่ศึกษาในศาลยุติธรรม
มาวันนี้กระบวนท่าทางกฎหมายที่สูญหายไปหลายสิบปีกลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว จึงจำต้องกล่าวว่าคำร้องขอยุบพรรคเพื่อไทยด้วยหกข้อหานั้นเป็นเรื่องที่ดูหมิ่นถิ่นแคลนไม่ได้ และจะประมาทพลาดพลั้งไม่ได้โดยเด็ดขาด
ใครก็ตามที่กล่าวว่าข้อหาแต่ละข้อเบาบาง ฟังไม่ได้ว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง ก็ขอให้ดูกระบวนท่าวิชาอันลึกซึ้งนี้อันมีฤทธานุภาพมาแล้วในอดีต ถึงขั้นจำเลยต้องถูกประหารชีวิต ว่าเมื่อมาปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่งในครั้งนี้จะมีฤทธานุภาพประการใด
และเมื่อกล่าวถึงกระบวนท่าลีลานี้แล้วก็สมควรจะได้กล่าวถึงลีลาการแก้นี้ของฝ่ายจำเลยในคดีสวรรคตนั้น คือเมื่อมีการกล่าวอ้างว่าประเด็นปัญหาแต่ละเรื่องแม้ไม่มีประจักษ์พยานที่รับฟังได้ แต่ก็เป็นด้ายเส้นน้อยที่เมื่อรวมกันหลายเส้นก็จะเป็นด้ายเส้นใหญ่ที่ร้อยรัดยกน้ำหนักก้อนหินได้ คดีจึงมีน้ำหนักฟังได้ว่าจำเลยเป็นฆาตกร
ในคดีนั้นทนายฝ่ายจำเลยก็มีฝีมือชั้นครู คือนายฟัก ณ สงขลา ได้แถลงแก้ว่า อันธรรมดาด้ายเส้นใหญ่ที่สามารถรับน้ำหนักได้มากนั้นย่อมประกอบด้วยด้ายเส้นน้อยหลายเส้น ครั้นถึงกาลด้ายจะขาดลงก็จะเกิดจากการขาดสะบั้นของด้ายเส้นน้อยก่อน ดังนั้นเมื่อด้ายเส้นน้อยแต่ละเส้นไม่สามารถรับน้ำหนักก้อนหินอันใหญ่เพราะขาดสะบั้นแล้ว ด้ายเส้นใหญ่ก็จะขาดไปด้วยฉันใด คดีก็รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิด แต่ในคดีนั้นศาลได้พิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี