 วันศุกร์ ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568
                วันศุกร์ ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568
             
							ปรากฏการณ์สำคัญที่กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ การที่บริษัทค่ายเพลงขนาดใหญ่อย่าง SM Entertainment ได้ออกแถลงการณ์ว่า “ฮง ซึงฮัน” (HongSeunghan) หนึ่งในสมาชิกของวง “RIIZE” (ไรซ์) ซึ่งถูกพักงานและระงับการเข้าร่วมกิจกรรมของวงเป็นการชั่วคราวเมื่อปีที่ผ่านมา เนื่องจากการมีพฤติกรรมในช่วงก่อนการเดบิวต์ที่ไม่เหมาะสมและขัดต่อภาพลักษณ์ความเป็น “ไอดอลที่ดี” ของกลุ่มแฟนคลับ เช่น การมีภาพที่ถูกเผยแพร่โดยไม่ยินยอมระหว่างซึงฮันและอดีตแฟนสาว จะกลับมาเข้าร่วมกิจกรรมของวงอีกครั้งหนึ่ง โดยภายหลังจากที่มีแถลงการณ์ดังกล่าว ซึงฮันได้ปรากฏตัวอีกครั้งผ่านโซเชียลมีเดียด้วยภาพจดหมายที่เขียนด้วยลายมือซึ่งระบุว่าจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น รวมถึงมีจดหมายจากสมาชิกของวงคนอื่นๆ ที่ยืนยันถึงการสนับสนุนและยินดีต่อการกลับมาเข้าร่วมทำกิจกรรมกับวงอีกครั้งหนึ่งของซึงฮัน
หลังจากที่ผ่านไปเพียงแค่ 2 วัน ของการประกาศการกลับมาของซึงฮัน ทาง SM Entertainment ก็ได้มีแถลงการณ์ฉบับใหม่ออกมาอีกครั้ง โดยระบุว่า “ภายหลังจากการพูดคุยถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์เชิงลบที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึงฮันจึงได้ตัดสินใจที่จะออกจากวงอย่างเป็นทางการ และขอให้ทุกคนยังคงสนับสนุนวงที่จะดำเนินกิจกรรมต่อไปด้วยสมาชิก 6 คน”ซึ่งท่ามกลางความงุนงงและการกลับคำพูดของบริษัทฯ ในสถานการณ์ดังกล่าวนี้ ได้มีวิดีโอที่เผยแพร่อยู่บนโซเชียลมีเดียต่างๆ ถึง “ปรากฏการณ์พวงหรีดหน้าตึก” ที่มีแฟนคลับจำนวนหนึ่งที่ไม่พอใจต่อการกลับมาของซึงฮัน ได้นำพวงหรีดไว้อาลัย พร้อมด้วยข้อความที่แสดงถึงความเกลียดชัง ไปวางไว้บริเวณด้านหน้าของบริษัท SM Entertainment เพื่อต่อต้านการกลับมาของซึงฮัน
จากเหตุการณ์นี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นในวงการอุตสาหกรรมK-POP ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในเรื่องการบริหารจัดการของบริษัทฯ ในช่วงวิกฤตที่ขาดประสิทธิภาพ ปัญหาการดูแลสวัสดิภาพของศิลปิน รวมถึงทัศนคติของกลุ่มแฟนคลับไอดอลที่ทำตัวเป็นเหมือนเจ้าของชีวิตของศิลปิน และนำมาสู่เหตุการณ์ที่ทำให้ศิลปินถูกทำให้กลายเป็นสินค้าเพื่อตอบสนองต่อแฟนคลับที่เป็นกลุ่มลูกค้า จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดกันในวงการฯ ที่อาจเป็นทั้งพื้นที่ของการไขว่คว้า “ทำตามความฝัน” ของใครหลายคน
ในขณะที่ใครบางคนก็อาจที่จะถูก “ทำลายความฝัน”ได้ในเวลาเดียวกัน
#RII7EISSEVEN จากการขับไล่ของ “คนใน” ที่นำไปสู่การเรียกร้องของ “คนนอก”
เป็นที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าจากแถลงการณ์ของ SM Entertainment ทั้งสองฉบับก่อนหน้านี้ได้ก่อให้เกิดบทสนทนาที่เป็นที่ถกเถียงกันบนโลกออนไลน์ และเห็นได้ถึงการปะทะกันระหว่างคนสองกลุ่มที่มีมุมมองแตกต่างกัน โดยฝ่ายหนึ่งได้ถูกเรียกว่าเป็นกลุ่ม “OT6” ซึ่งย่อมาจาก One True 6 ที่หมายถึงกลุ่มแฟนคลับที่ยอมรับถึงการมีอยู่ของสมาชิกในวงเพียงแค่ 6 คน และต่อต้านการกลับมาเข้าร่วมกิจกรรมวงของซึงฮัน ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งจะถูกเรียกว่าเป็น “OT7” หรือ One True 7 ซึ่งหมายถึงกลุ่มที่สนับสนุนสมาชิกทั้ง 7 คน และเห็นด้วยต่อการกลับมาร่วมทำกิจกรรมของซึงฮันในนามวง
ทั้งนี้ เกณฑ์การแบ่งรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจในการแบ่งแยกระหว่างกลุ่ม OT6 และ OT7 ในเหตุการณ์นี้ คือ การนำเอาอัตลักษณ์ความเป็นชาติของกลุ่มบุคคลคนมาใช้เป็นเกณฑ์แบ่งแยกกลุ่มแฟนคลับ (ซึ่งเป็นการแบ่งกลุ่มในภาพรวม) โดยในกลุ่มที่สนับสนุน OT6 มักที่จะเป็นกลุ่มแฟนคลับชาวเกาหลีใต้และแฟนคลับชาวจีนของวง RIIZE ซึ่งมีวัฒนธรรมในการติดตามและสนับสนุนศิลปินที่เข้มข้น และให้ความสำคัญกับการที่ศิลปินจะต้องเป็นไอดอลที่ดีตามอุดมคติที่วางไว้ ในขณะที่แฟนคลับอีกกลุ่มหนึ่งที่สนับสนุน OT7 มักที่จะเป็นกลุ่มแฟนคลับต่างประเทศที่นอกเหนือจากเกาหลีใต้และจีน ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับการมองศิลปินในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง และยอมรับในความเป็นจริงที่ว่าเป็นปกติที่ศิลปินซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาย่อมที่จะมีข้อผิดพลาดหรือมีชีวิตที่ไม่แตกต่างไปจากคนทั่วไปในสังคม
มุมมองของการนำอัตลักษณ์ความเป็นชาติมาผูกโยงเข้ากับแนวทางในการสนับสนุนต่อเหตุการณ์ที่แตกต่างกันนี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่าแนวคิดเรื่องความเป็นชาติ ยังคงมีพลังและอำนาจในการใช้จัดแบ่งกลุ่มคนที่มีความแตกต่างกันทางความคิดในสังคมสมัยใหม่ ซึ่งถึงแม้ว่าโลกในปัจจุบันจะเข้าสู่ความเป็นโลกาภิวัตน์ที่ทำให้เส้นพรมแดนของความเป็นชาติในเชิงภูมิศาสตร์ถูกทำให้พร่าเลือนลงไปแล้ว แต่กระแสของความเป็น “คนนอก” และ “คนใน” ของชาติ ยังคงมีอิทธิพลสำคัญและส่งผลต่อการตัดสินใจต่อการกระทำทางสังคมต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ ดังจะเห็นได้จากกรณีข้างต้นเกี่ยวกับท่าทีในการแถลงการณ์กลับคำของ SM Entertainment ภายหลังจากการเผชิญกับข้อเรียกร้องของกลุ่ม OT6 ที่ไม่เห็นด้วยกับการกลับมาของซึงฮัน และโดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแฟนคลับชาวเกาหลีใต้ที่เป็น “คนใน” ประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความเข้มข้นของการยึดถืออัตลักษณ์ความเป็นชาติในประเทศเกาหลีใต้ที่มีอยู่มากนี้ ทำให้น้ำหนักและการส่งผ่านความต้องการและข้อเรียกร้องของกลุ่ม OT6 ไปยังบริษัทฯ มีพลังอำนาจมากกว่าความต้องการและข้อเรียกร้องของกลุ่ม OT7 ที่ถือเป็น “คนนอก” สังคมของประเทศเกาหลีใต้ และมีสัดส่วนต่อการตัดสินใจในการ “เลือกที่จะฟัง” เสียงของกลุ่มแฟนคลับโดยบริษัทฯ ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งยังมีเหตุการณ์อีกหลายครั้งในอดีตที่เกิดขึ้นบนประเด็นว่าด้วยเรื่องอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติของบุคคลที่ส่งผลต่อการกระทำของบริษัทฯ เช่น กรณีของการที่บริษัทฯ ถูกกล่าวหาว่ามีการเลือกปฏิบัติต่อศิลปินที่เป็นชาวต่างชาติ เป็นต้น
ปรากฏการณ์ “พวงหรีดหน้าตึก” กับสำนึกในความเป็นเจ้าของชีวิตคนอื่นของกลุ่มแฟนคลับ
เหตุการณ์น่าสะเทือนใจอีกอย่างหนึ่งจากกรณีที่เกิดขึ้น คือ ปรากฏการณ์ “พวงหรีดหน้าตึก” ที่กลุ่มแฟนคลับ OT6 ได้นำพวงหรีดสีดำที่มักจะนำไว้ใช้วางในงานศพ มาใช้ในการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อต่อต้านการกลับมาของซึงฮัน และได้ปรากฏภาพของถนนบริเวณหน้าบริษัท SM Entertainment ที่เต็มไปด้วยพวงหรีดสีดำ และมีข้อความที่แสดงให้เห็นถึงความเกลียดชังที่กลุ่มแฟนคลับ OT6 มีต่อซึงฮันเป็นจำนวนมาก รวมถึงปรากฏภาพถ่ายของซึงฮันที่เดินทางมายังบริษัทฯ และเดินผ่านกลุ่มพวงหรีดสีดำจำนวนมากที่แฟนคลับนำมาวางไว้ จนเกิดเป็นการตั้งคำถามต่อแนวปฏิบัติของบริษัทฯ ในการปกป้องดูแลศิลปินในสังกัดจากความเกลียดชังของกลุ่มแฟนคลับ รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของกลุ่มแฟนคลับที่กระทำเกินกว่าเหตุในการปฏิบัติต่อศิลปินราวกับพวกเขาไม่ใช่มนุษย์คนหนึ่ง
ปัญหาเรื่องมุมมองการเป็น “เจ้าของชีวิต” ศิลปินของกลุ่มแฟนคลับวงไอดอลในอุตสาหกรรมเพลงและดนตรีเกาหลีใต้ ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นใหม่แต่อย่างใด เพราะตั้งแต่ที่วงการ K-POP ได้รับความนิยมและแพร่หลายในสื่อกระแสหลัก (Mass Media) วัฒนธรรมที่เกิดขึ้นและเติบโตขึ้นมาอย่างเป็นคู่ขนานกัน คือ วัฒนธรรมของการสนับสนุนศิลปินในฐานะแฟนคลับที่รวมตัวกันและเรียกตนเองว่าแฟนด้อม (Fandom) ซึ่งความสำคัญของขนาดและระดับการสนับสนุนศิลปินโดยกลุ่มแฟนคลับที่มากน้อยแตกต่างกันนี้ ได้ส่งผลต่อความนิยมและความอยู่รอดของศิลปินในวงการที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด และกลายเป็นสภาวะพึ่งพิงกันระหว่างศิลปินกับกลุ่มแฟนคลับที่เป็นความสัมพันธ์ที่ขาดกันไม่ได้ในอุตสาหกรรมเพลงและดนตรีเกาหลีใต้
แต่ในอีกด้านหนึ่ง สภาวะของการพึ่งพิงกันระหว่างศิลปินกับกลุ่มแฟนคลับนี้ ก็ได้นำมาสู่การเกิดสำนึกในความเป็นเจ้าของชีวิตคนอื่นของกลุ่มแฟนคลับ ผ่านกระบวนการสร้างทัศนคติด้วยการมองศิลปินในฐานะที่ถูกทำให้เป็นสินค้า (Commodification) และเมื่อมีเหตุการณ์ที่ศิลปินมีพฤติกรรมหรือคำพูดที่ไม่ตรงกับภาพจำของความเป็นไอดอลตามอุดมคติที่ยึดถือโดยกลุ่มแฟนคลับ กลุ่มแฟนคลับที่มีสำนึกว่าตนเองนั้นมีอำนาจต่อความคาดหวังที่อยู่เหนือความเป็นมนุษย์ของศิลปินเหล่านี้ก็จะเกิดการต่อต้านศิลปินอย่างรุนแรง และนำไปสู่วัฒนธรรมการคว่ำบาตร (Cancel Culture) ที่อาจเป็นการจบเส้นทางอาชีพและความฝันของศิลปินได้ในชั่วพริบตา รวมถึงอาจเป็นการทำลายทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ของตัวศิลปินได้ด้วยเช่นเดียวกัน
#SMSupports Bullying วิกฤตของศรัทธาที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นสาธารณะของบริษัท
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ศิลปินในวงการ K-POP ต้องพบเจอกับเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวที่สะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องและปัญหาจากการบริหารจัดการของบริษัทฯ ในสภาวะวิกฤต รวมถึงปัญหาในเรื่องของการดูแลสวัสดิภาพของศิลปินในฐานะที่เป็นพนักงานคนหนึ่งของบริษัท ตลอดจนถึงปัญหาในเรื่องของการไม่สามารถดูแลศิลปินให้ได้รับ
ความปลอดภัยจากการถูกคุกคามโดยกลุ่มแฟนคลับได้ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะกับบริษัท SM Entertainment เท่านั้น แต่ยังมีบริษัทฯ หรือค่ายเพลงอีกหลายแห่งทั้งที่มีขนาดเล็กและใหญ่ในเกาหลีใต้ ที่ต้องเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อความบกพร่องของบริษัทที่ไม่สามารถบริหารจัดการสภาวะวิกฤต (Crisis Management) ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลกระทบต่อทั้งชีวิตและความรู้สึกของศิลปินและกลุ่มแฟนคลับ รวมถึงกระทบต่อความเชื่อมั่น (Trust) ที่สาธารณชนมีต่อบริษัทฯ จนนำมาสู่ภาวะถดถอยและการเสื่อมความนิยมของวงการอุตสาหกรรมเพลงและดนตรีเกาหลีใต้ จากปัญหาที่สั่งสมและเป็นแผลเรื้อรังขนาดใหญ่ของวงการมาเป็นระยะเวลานาน และยังไม่มีทีท่าว่าปัญหาเหล่านี้จะได้รับการแก้ไขในเร็ววัน
ไม่ว่าบทสรุปของกระแสการเรียกร้องให้ซึงฮันกลับมาเข้าร่วมกิจกรรมของวง RIIZE ผ่านแฮชแท็ก #JUSTICE_FOR_SEUNGHAN #RII7EISSEVEN และ #BringBackSeunghan จะออกมาในรูปแบบหรือทิศทางใด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่สำคัญของวงการ K-POP ที่สะท้อนถึงความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้น รวมถึงการกระทำของกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่ลดทอนคุณค่าและละเมิดสิทธิของมนุษย์คนหนึ่งที่มีความฝันและความหวังในชีวิตไม่ต่างไปจากตนเอง
และสุดท้ายนี้ เราจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่า “อย่าให้ความต้องการและความคาดหวังของเราที่มีต่อใครบางคน ไปทำลายชีวิตและความฝันของคนอื่น”
เจษฎา จงสิริจตุพร

 'นราพัฒน์'ส่อทิ้ง ปชป. โพสต์เศร้ายุติเส้นทางสายเก่า
										'นราพัฒน์'ส่อทิ้ง ปชป. โพสต์เศร้ายุติเส้นทางสายเก่า
									 สื่อเขมรรายงาน แม่ทัพ 2 ชาติ จับมือถอนอาวุธหนักออกชายแดน เที่ยงคืนนี้
										สื่อเขมรรายงาน แม่ทัพ 2 ชาติ จับมือถอนอาวุธหนักออกชายแดน เที่ยงคืนนี้
									 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการในพระองค์ ฝ่ายทหารชั้นนายพล 8 นาย
										โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการในพระองค์ ฝ่ายทหารชั้นนายพล 8 นาย
									 พระราชทานยศข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหารชั้นสัญญาบัตร พันเอก ธนิต ลีฬหาธีรพงศ์ เป็น 'พลตรี'
										พระราชทานยศข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหารชั้นสัญญาบัตร พันเอก ธนิต ลีฬหาธีรพงศ์ เป็น 'พลตรี'
									 หยุดแตกตื่น! ลิงทดลองหลุดที่มิสซิสซิปปีไม่มีเชื้อไวรัส คนขับเข้าใจผิดทำคนผวาทั้งโลก
										หยุดแตกตื่น! ลิงทดลองหลุดที่มิสซิสซิปปีไม่มีเชื้อไวรัส คนขับเข้าใจผิดทำคนผวาทั้งโลก
									
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี