ปรับ ครม.แล้วยังไง ชั่วโมงไหน เพราะปรับแล้วต้องเกิดประโยชน์กับชาวบ้านและชาติบ้านเมืองไม่ใช่ปรับเพื่อกระชับอำนาจหรือปรับเนื่องจากพรรคแกนนำร่วมรัฐบาลต้องการยึดโควต้ากระทรวงกลับมาไว้ในมือ
เวลานี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์จับจ้องไปที่เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่“อนุทินชาญวีรกูล”หัวหน้าพรรคภูมิใจ นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้
เพราะกระทรวงมหาดไทยนั้น เป็นมือไม้สำคัญที่สามารถจะอำนวยประโยชน์การเลือกตั้งให้แก่พรรคการเมืองที่คุมกระทรวงนี้ได้เปรียบกว่าคู่ต่อสู้ ทั้งระดับชาติและท้องถิ่นซึ่งก็เป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไร เนื่องจากผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านอยู่ใกล้ชิดกับประชาชน
และก็เป็นที่รู้กันดีและเป็นข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะเลือกตั้ง สส. อบจ. อบต. หรือนายกเทศมนตรีรวมทั้งสมาชิกสภาเทศบาล ประโยคฮิตติดปากก็คือ “เงินไม่มา-กาไม่เป็น”
เรื่องนี้ไม่ต้องปฏิเสธกัน เพราะมันคือความจริงที่ย้อนแย้งกับพรรคการเมืองและนักการเมืองซึ่งชอบอ้างกันเหลือเกินว่า เป็นฝ่าย“ประชาธิปไตย”ที่“มาจากการเลือกตั้ง”
กระแสข่าวการปรับ ครม.ถ้าจะเกิดขึ้นนับจากนี้ไป ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรแต่เป็นเรื่องการขบอำนาจขบเหลี่ยมระหว่างพรรคเพื่อไทยของนายใหญ่“ทักษิณ ชินวัตร”กับพรรคภูมิใจไทย ของครูใหญ่“เนวิน ชิดชอบ”เท่านั้น-แค่นี้จริงๆ ไม่ใช่เพื่อชาวบ้าน หรือเพื่อชาติบ้านเมือง
หากย้อนกลับไปดูข่าวจะเห็นว่า ความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย มีมาโดยตลอดและก็หลุดมาจากปากของ“นายใหญ่”
วันที่ 11 ธันวาคม 2567 “ทักษิณ ชินวัตร”ให้สัมภาษณ์สื่อระหว่างไปปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครพรรคเพื่อไทยลงสมัครนายกอบจ.ที่จังหวัดอุบลราชธานี กรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยไม่สนับสนุนการแก้ไขระเบียบกระทรวงกลาโหมเพื่อสกัดการทำปฏิวัติ ว่า พรรคภูมิใจไทยอาจจะพูดเร็วไปซึ่งยังไม่ได้ถามว่าเป็นมติของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ และว่า“ภูมิใจไทยรีบหล่อเร็วไปนิด ขอให้หล่อช้าๆหน่อย เพราะพรรคร่วมรัฐบาลต้องฝึกการทำงานร่วมกัน”
วันที่ 13 ธันวาคม 2567 จากการกล่าวปาฐกถาในงานสัมมนาพรรคเพื่อไทย ที่หัวหิน-ทักษิณ ชินวัตร แสดงอำนาจบาตรใหญ่ พูดให้ลูกพรรคในคอกฟังว่า “เมื่อสองวันก่อน มีการเอาร่างพระราชกำหนดเข้า ครม.ปรากฏว่า มีพรรคร่วม พรรคหลบ ป่วย อย่างนี้มันไม่ใช่เลือดสุพรรณนี่หว่า ถ้าอยู่ด้วยกันมันต้องด้วยกันสิไม่อยากอยู่ต้องบอกกันให้ชัดเจน เราเป็นคนพูดรู้เรื่อง ห้ามหนี ต่อไปใครหนีก็บอกถ้าหนีก็ส่งใบลาออกมาด้วย-ง่ายดี”
คนที่ลาประชุม ครม.ในวันนั้นก็คือ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กับ“พีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งก็ถือว่าโดนเต็มๆแต่อนุทินยังพลิ้วโดยให้สัมภาษณ์ออกตัวกับสื่อว่า ไม่เกี่ยวกับตน เพราะเข้ามาประชุมครม.ในช่วงท้ายของการประชุมในวันนั้น
นอกจากปากของ“ทักษิณ ชินวัตร”ประเภท“ปากคอเราะราย”ที่ทิ่มแทงพรรคภูมิใจไทยอยู่ตลอดเวลาแล้วยังมีความขัดแย้งที่เป็นรูปธรรมอีกสองเรื่องคือกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การ“ฉีกทิ้ง”รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงนักการเมืองและกรณีร่างกฎหมาย“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์”ที่พรรคเพื่อไทยมีผลประโยชน์ทับซ้อนเรื่อง“กาสิโน”ซุกไว้ในกฎหมายฉบับนี้
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 สส.พรรคภูมิใจไทยไม่ยอมเสียบบัตรแสดงตน และ สว.สายสีน้ำเงินสายตรงของ“ครูใหญ่บุรีรัมย์” วอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุมในการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ-แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1อันจะนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยพรรคเพื่อไทยเป็นตัวตั้งตัวตี ผลปรากฏว่าทำให้ไม่ครบองค์องค์ประชุม จึงต้องปิดประชุม ไม่สามารถประชุมต่อไปได้
ล่าสุดเรื่อง เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 ก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ นายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ได้ประกาศกลางสภาฯเป็นข่าวสะเทือนเลื่อนลั่น ว่า“ขอประกาศต่อรัฐสภาแห่งนี้ว่าไชยชนก ชิดชอบ ลูกชายคนโตของเนวิน และ กรุณา ชิดชอบ ผมจะไม่มีวันเห็นด้วยกับกาสิโน ไม่ใช่แค่พ.ร.บ.ฉบับนี้ แต่ทุก พ.ร.บ.หลังจากนี้ แม้กระทั่ง พ.ร.บ. ของพรรคภูมิใจไทย ฯลฯ”
สิ้นเสียงของ“ไชยชนก ชิดชอบ” ใครก็รู้ว่าเป็นสัญญาณของ“ระเบิดเวลา”ที่รอวันระเบิดระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทย อันเนื่องมาจากผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวชนิดที่“สร้างดาวกันคนละดวง” และนับวันพรรคเพื่อไทยก็ยิ่งผวาเพราะพรรคภูมิใจไทยหายใจรดต้นคอแบบกระชั้นชิดมากยิ่งขึ้นทุกวัน ขนาดว่าเลือกตั้งท้องถิ่น อาทิ เลือกตั้งนายก อบจ. พรรคเพื่อไทยก็ตกเป็นรองพรรคภูมิใจไทย
บรรทัดนี้พอจะคาดเดาได้ว่า หากมีการปรับ ครม.กันจริงๆ พรรคภูมิใจไทยคงไม่ยอมง่ายๆ ที่จะยกเก้าอี้ มท.1 ซึ่ง“อนุทิน ชาญวีรกูล”นั่งอยู่คืนให้แก่พรรคเพื่อไทยและก็คงจะนำไปสู่การ“เฉดหัว”พรรรคภูมิใจไทยออกจากรัฐบาล
จากรัฐบาลผสม 11 พรรคในเวลานี้ 322 เสียง เมื่อตัดพรรคภูมิใจไทยที่มีเสียงจริงๆ 69 เสียงออกไปก็ยังเหลืออีก 253 เสียง ถือว่ายังมีเสียงข้างมากแบบน้ำปริ่มๆ แต่เกินกึ่งหนึ่งซึ่งหากพรรคเพื่อไทยจะดึงพรรคประชาชนที่มีอยู่ 143 เสียงเข้ามาร่วมด้วย น่าจะเป็นงานใหญ่ คงลำบากสุดท้ายก็ต้องประคองไปก่อนแล้วหาพรรคเล็กๆ จากซีกฝ่ายค้านเข้ามาเติมและเมื่อกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ผ่านสภาฯ ถึงวันนั้นจะยุบสภาฯเมื่อใดก็ได้
ประชาธิปไตยจอมปลอมก็เป็นแบบนี้ ผลประโยชน์ของนักการเมืองและพรรคการเมืองย่อมมาก่อนประชาชนและชาติบ้านเมืองก็แค่ข้ออ้าง ที่ใช้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าไปแสวงประโยชน์เท่านั้น
อาชีพนักการเมืองในประเทศไทย จึงเป็นอาชีพที่ส่วนใหญ่เล่นแล้ว“รวย”กันทุกคน ชนิดที่“มีกิน-มีใช้”มากกว่าชาวบ้านเป็นเท่าทวี-แต่ไร้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรี !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี