หลังจากรัฐบาลของหลวงพิบูลสงครามเข้าบริหารประเทศได้ประมาณ 8 เดือน ทางรัฐบาลได้นำเรื่องพระราชบัญญัติจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทยเสนอต่อสภาฯ ความคิดในการที่จะมีธนาคารกลางแห่งชาตินี้ไม่ใช่เพิ่งจะมาเกิดขึ้น หากได้มีความคิดนี้มาตั้งแต่นายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้วแต่ไม่เป็นที่ยุติ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 ได้รับแนวทางนี้สืบต่อมา ดังปรากฏในร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯที่มีข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดตั้งธนาคารชาติ และเหมือนกับที่เคยเป็นมา คือยังมีเสียงคัดค้านอยู่จนผ่านจากรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดามาเป็นรัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนา ในปี 2477 พระยาสุริยานุวัตรผู้รอบรู้เรื่องกิจการคลังได้ทำหนังสือถึง 2 ฉบับถึงพระยาพหลฯ นายกรัฐมนตรี ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2477 เพื่อเสนอให้มีการพิจารณาให้มีธนาคารกลางของประเทศที่เรียกว่าธนาคารชาติแห่งสยาม พระยาสุริยานุวัตรท่านนี้เป็นผู้ที่นายกรัฐมนตรีมีความสนิทสนมและไว้วางใจมาก แต่อย่างไรก็ตามเรื่องการตั้งชาติก็ยังไม่ได้รับการพิจารณาให้จัดตั้งในเวลานั้น จนเวลาได้ผ่านมาอีก 5 ปี ในสมัยรัฐบาลหลวงพิบูลสงครามจึงได้มีการเสนอเรื่องนี้ต่อสภาฯ ในวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2482 โดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้เสนอ
“รัฐบาลขอเสนอ… เพื่อจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติขึ้นในกระทรวงการคลังและให้มีฐานะเป็นทบวงการเมือง เพื่อมีอำนาจหน้าที่ประกอบการอันเป็นกิจธุระของธนาคารกลางและเตรียมการที่จะจัดตั้งธนาคารชาติไทย เพื่อจัดระเบียบการเงินตรา และรักษาทุนสำรองไว้ให้เป็นหลักแห่งความมั่นคงในการเงิน และดำเนินวิธีเงินตราและเครดิตของประเทศ
ในการที่จะดำริให้มีธนาคารชาติไทยนั้น…เป็นกิจการอันใหญ่โตและจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และดำเนินการไปทีละขั้น เหตุฉะนั้นทางรัฐบาลจึงได้มีความประสงค์ในชั้นแรกนี้ บางทีจะจัดตั้งองค์การขึ้นให้เป็นทบวงการเมืองขึ้นอยู่ในกระทรวงการคลังเท่านั้น กิจการยังหาใช่เป็นธนาคารชาติ ซึ่งเป็นรูปบริษัทเหมือนดังกับในต่างประเทศไม่…จึงขอให้ท่านสมาชิกสภาฯ นี้ได้โปรดรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้”
จึงเห็นได้ชัดว่าในวันนั้น เป็นการตั้งสำนักงานธนาคารชาติขึ้นเป็นขั้นต้นก่อน มิได้ตั้งเป็นธนาคารชาติอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน วันนั้นผู้ที่ลุกขึ้นให้ความเห็นที่สำคัญอีกท่านหนึ่งคือ
นายเขมชาติ บุณยรัตพันธ์ุ “… ธนาคารนี้เป็นการคล้ายๆกับการค้าขายโดยตรง ถึงแม้ไม่เป็นธนาคารชาติในบัดนี้ก็ตาม แต่ก็เป็นการเริ่มต้นการค้าไปในตัว ข้าพเจ้าคิดว่ารัฐบาลได้เคยเสนอพระราชบัญญัติกู้เงินต่างๆ เป็นจำนวนมากมาย ก็ทำไมรัฐบาลไม่มีนโยบายออกพระราชบัญญัติกู้เงินจากประชาชนหรือใครๆ ก็ตาม มาจัดเป็นทุนของธนาคารชาติเสียตั้งแต่บัดนี้…ดีกว่าที่จะเอาเงินคงคลังมาทำตามพระราชบัญญัตินี้”
หลวงประดิษฐ์จึงได้ชี้แจงว่า “…ความตั้งใจนั้นในเรื่องนี้ ก็เป็นการนำเอากำไรแห่งเงินทุนสำรองเงินตรา และดอกเบี้ยมาเป็นทุนของธนาคารนี้ ส่วนในข้อที่ว่าจะให้ไปกู้เงินจากเอกชน เห็นว่า…เราควรที่จะใช้เงินของรัฐบาลที่เรามีอยู่ หรือเงินที่เราจะใช้นี้ จะพยายามหาจากผลกำไรที่เราหามาได้ ไม่ใช่เอาจากเลือดเนื้อหรือภาษีอากรจากราษฎร”
ร่างกฎหมายได้ผ่านสภาฯเป็นพระราชบัญญัติชื่อ พระราชบัญญัติจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทย พุทธศักราช 2482 โดยตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทยให้เริ่มดำเนินการได้เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2483 และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2483 โดยมีที่ทำการอยู่ที่กรมบัญชีกลางในพระบรมมหาราชวัง บุคคลคนแรกที่เป็นรักษาการผู้อำนวยการ คือ พระยาทรงสุรรัชฎ์ อธิบดีกรมบัญชีกลางในขณะนั้น ช่วงเวลาประมาณ 75 ปีตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ ธนาคารชาติของเราได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนเป็นองค์กรที่มีความเป็นอิสระจากรัฐบาลในการบริหารงาน
นรนิติ เศรษฐบุตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี