“ถึงทุกท่านที่ผ่านมาพบโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าท่านเป็นใคร ข้าขอให้จดหมายฉบับนี้เป็นคำเตือนจากดินแดนมัชฌิมา ดินแดนของข้าที่ความจริงและความลวงถูกพร่ามัวไปด้วยหมอกแห่งอำนาจและความย้อนแย้งได้โปรดพิจารณาจดหมายฉบับนี้อย่างถี่ถ้วน และอย่าได้ซ้ำรอยดินแดนแห่งนี้ด้วยเถิด”
นั่นเป็นข้อความจ่าหน้าซองจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกค้นพบในห้องเก็บเอกสารของ องค์กรตรวจสอบโปร่งใสแห่งชาติ และในบรรดาเอกสารที่ล้วนเป็นรายงานเชิงนโยบาย และแผนพัฒนาองค์กรเชิงกลยุทธ์อีกนับร้อยฉบับ จดหมายนี้กลับโดดเด่นที่สุด ราวกับเป็นสัญญาณเตือนภัยสุดท้ายก่อนที่โลกของพวกเขาจะพังลง เมื่อเปิดจดหมายออกดูจึงพบเนื้อหามากมาย ที่เริ่มจากการก่อตั้ง องค์กรตรวจสอบโปร่งใสแห่งชาติภายใต้เป้าหมายสูงสุดเพื่อการต่อสู้กับภัยร้ายอย่างการทุจริตใน ดินแดนมัชฌิมา ที่มีการจัดสรรเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของคนในดินแดนกระจายไปยังส่วนต่างๆ ของดินแดนทั้งเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยองค์กรฯ ได้พยายามดำเนินการตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่องผ่านทั้งการออกระเบียบที่ใช้ร่วมกันในดินแดน สร้างตัวชี้วัดกลางให้องค์กรอื่นๆ ใช้ประเมินตัวเองภายใต้กรอบที่วางไว้และเปิดโอกาสให้คนในดินแดนได้มีโอกาสในการส่งเสียงสะท้อนประเมินองค์กรต่างๆ ได้อีกด้วย
โดยมีส่วนที่ถูกเน้นไว้ว่า “แต่ถึงแม้สิ่งที่ทำและภาพที่เห็นจะสวยหรูดั่งพรมราคาแพงในโรงแรมหรู แต่สิ่งที่อยู่ใต้พรมกลับกลวงเปล่าเน่าเฟะและส่งกลิ่นโชยออกมาทีละน้อย แม้จะมีคนในดินแดนจำนวนหนึ่งพยายามเสี่ยงตัวเองวิ่งเข้าไปเปิดพรมและนำสิ่งเหล่านั้นมาเล่าให้คนอื่นฟังอยู่บ่อยครั้ง บางคนก็เชื่อบางคนก็กล่าวหาว่าคนเหล่านั้นต้องการสร้างความแตกแยกในดินแดนถูกควบคุมอิทธิพลภายนอก และก็ถูกเพ่งเล็งจากหลายทิศทาง” ที่หากลองมองให้ลึกลงไปจะเห็นความน่าสงสัยว่า ทำไมการที่คนในดินแดนพูดถึงสิ่งที่น่าสงสัยหรือสิ่งที่น่าจะพัฒนาได้ในดินแดนแห่งนี้อย่างโครงการประเมินองค์กรที่ถูกพูดถึงว่า ไม่สามารถสะท้อนสิ่งที่เป็นจริงได้ทั้งหมด และองค์กรความโปร่งใสดินแดนอื่นก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ผลที่ได้มาโดยไม่มีการตรวจสอบจากภายนอกอย่างจริงจังมักจะถูกเบี่ยงเบนไปมากกว่า 15-20% แต่เมื่อพูดไปเช่นนั้นแล้วกลับส่งผลให้คนเหล่านั้นถูกเพ่งเล็งหรือกระทำเหมือนคนผิด ทั้งๆ ที่หลายคนมีความตั้งใจเพื่อช่วยให้ องค์กรตรวจสอบโปร่งใสแห่งชาติ ทำงานง่ายขึ้นในดินแดนมัชฌิมา และจบท้ายจดหมายหน้าแรกด้วยประโยคที่ว่า“การทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาภายในดินแดนมัชฌิมาขององค์กรนี้ ก็เหมือนการสวมหน้ากากเพื่อถ่ายรูป ไม่ใช่เพื่อหายใจ เน้นภาพลักษณ์ที่จะถูกมองเข้ามา ไม่ใช่ภาพที่จะถูกมองออกไปโดยคนในดินแดนที่เป็นถูกระเบียบนำรายได้บางส่วนไปจัดสรรแก้ไขปัญหา และแนวทางแก้ไขก็ยังถูกออกแบบโดยผู้มีอำนาจที่ไม่เคยเข้าใจและไม่เคยยอมรับว่าตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเช่นเดียวกัน ข้าจึงขอเรียกองค์กรแห่งนี้ใหม่ว่า องค์กรย้อนแย้งลักลั่นแห่งชาติ” หรือว่ามันจะมีอะไรมากกว่านั้นที่เรายังไม่รู้กันแน่นะ
ภายในจดหมายฉบับนั้นยังระบุว่า โครงสร้างพื้นฐาน รูปแบบการทำงาน หรือแม้แต่การใช้อำนาจในพื้นที่ตัวเองขององค์กรฯ และดินแดนแห่งนี้มีรูปแบบเหมือนอย่างกับถอดแบบกันมา โดยผู้มีอำนาจมักสื่อสารและป่าวประกาศถึงการกระทำของตัวเองอยู่เสมอ “องค์กรของเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปเราจะทำให้มันดีขึ้นโดยการให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมกับการออกแบบองค์กร หาคนเก่งๆ เข้ามาร่วมผลักดันองค์กร และทำให้ดินแดนของเรายิ่งใหญ่” ในจดหมายบอกว่าคำเหล่านี้ถูกพูดอยู่บ่อยครั้งหรือแทบจะทุกครั้งที่มีโอกาส แล้วได้ทำการปรับหลักการในเอกสาร ระเบียบต่างๆ ที่ใช้ร่วมกัน พยายามสร้างระบบที่ช่วยให้เกิดการพัฒนาองค์กรมากมาย แต่หลายคนกลับไม่สามารถสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงได้สักครั้งเสมือนว่ามีบางอย่างที่สำคัญยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป อาจเพราะปัญหาเชิงระบบที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดแค่จากโครงสร้างพื้นฐาน แต่เป็น “ผู้มีอำนาจ” ที่อยู่ในโครงสร้างเหล่านั้นด้วยที่อาจจะต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้สอดคล้องกับสิ่งที่ตัวเองป่าวประกาศ เพื่อที่จะลดโอกาสในการเกิดช่องว่างระหว่างคำพูดและการปฏิบัติจริง และเพื่อไม่ให้เกิดการสร้างภาพจำของการแก้ไขปัญหาอย่างไม่มีมาตรฐาน อาจควรพิจารณาถึงตัวแปรที่เป็นปัญหาต่อองค์กรจริงๆ แม้ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคนสนิท คนใกล้เคียง หรือแม้แต่ตัวเองก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับ องค์กรย้อนแย้งลักลั่นแห่งชาติเท่านั้น แต่ยังเกิดกับดินแดนมัชฌิมาด้วยเช่นกันจากคำที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้นที่ว่า “ข้าเกิดในดินแดนแห่งนี้ โตมาในดินแดนแห่งนี้ และหวังว่าจะได้ตายอย่างภาคภูมิในดินแดนแห่งนี้แต่ดินแดนแห่งนี้กำลังผลักไสข้าจากการกระทำที่ไม่สนใจคนผู้น้อยเลยแม้แต่นิด กฎระเบียบต่างๆ คลุมเครือ มองไม่เห็นถึงประชาชนอย่างข้าข้างในนั้น ซ้ำแล้วยังเลือกปฏิบัติอย่างโหดร้าย บางอย่างทำแค่กับคนผู้น้อย แต่ผู้มีอำนาจไม่ว่าจะเงินตราหรือการสั่งการกลับไม่ถูกกระทำแบบเดียวกัน”
เมื่ออ่านจดหมายไปเรื่อยๆ จะเจอว่า สิ่งนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเพียงหลักวันหลักเดือน แต่เกิดขึ้นมานานมาก ฝังรากลึกลงไปในโครงสร้างพื้นฐาน และจิตสำนึกของหลายๆ คน บั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนในดินแดนให้เข้าใจว่า ความเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อพวกเขา ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงหรอก แม้จะเปลี่ยนผู้มีอำนาจไปอีกสักเท่าไร พยายามปรับเปลี่ยนระบบไปอีกแค่ไหน ก็ไม่มีวันเปลี่ยนอะไรได้ เราเพียงแค่ต้องใช้ชีวิตเพื่อรอวันจากไปก็เท่านั้น ความรู้สึกหดหู่เหล่านั้นติดอยู่กับผู้คนมาอย่างยาวนาน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ความพยายามเปลี่ยนแปลงภายในดินแดนแห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่อาจไม่ได้ต่างจากใน องค์กรย้อนแย้งลักลั่นแห่งชาติ สักเท่าไร ที่ออกกฎระเบียบ ปรับหลักการ มาตรฐานเพื่อส่งเสริมให้เกิดความเชื่อใจของคนในดินแดนมากขึ้น แต่ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบเลยต้องเกิดการปรับเปลี่ยน แต่อาจจะเป็นไปได้ยากในดินแดนแห่งนี้ ที่เมื่อปรับเปลี่ยนไปแล้วหนึ่งรอบอาจไม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอีก ด้วยความเชื่อที่ว่า ระบบไม่ได้มีปัญหา แต่คนต่างหากที่ต้องปรับตัว แต่เมื่อคนปรับตัวแล้วส่งเสียงกลับมาว่า สิ่งที่ทำออกมามันใช้จริงไม่ได้ ก็ต้องผ่านกระบวนการมากมายกว่าเสียงจะได้รับการได้ยิน ซึ่งหลายครั้งก็มักไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจริง
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมการทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ การเอาภาพลักษณ์เหนือสิ่งที่เป็นจริง เน้นพวกพ้องมากกว่าพวกเราทั้งหมด และเสียงเล็กๆ ของคนผู้น้อยที่ผู้มีอำนาจ
ได้ยินเสมอแต่ไม่เข้าใจและไม่เอาใจใส่อย่างแท้จริง แต่จุดสุดท้ายของจดหมายฉบับนี้ยังคงเขียนมาด้วยความหวังที่ว่า
“ข้าขอบคุณทุกท่านที่อ่านเรื่องราวที่คั่งค้างอยู่ในใจของข้ามาจนถึงจุดนี้ ข้าไม่ได้หวังให้ท่านมาช่วยเหลือดินแดนของข้าเลยแม้แต่น้อย แต่ข้าเพียงต้องการบอกเล่าเรื่องราวในดินแดนที่ไร้ทางออก และพร้อมล่มสลายอยู่ทุกเมื่อเพื่อเตือนใจทุกท่าน ทุกองค์กร ทุกดินแดน ที่กำลังประสบปัญหาเช่นเดียวกับดินแดนของข้า ขอให้ดินแดนของข้าเป็นกระจกที่สะท้อนความอัปยศของระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อคนบางกลุ่มเพียงเท่านั้น ระบบที่สร้างภาพลวงให้เข้าใจว่าปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไขอย่างดีแล้วแต่ที่จริงกลับทำเพียงเก็บซ่อนไว้ในหีบสีใสที่ไม่สามารถหยิบอะไรออกมาได้ แต่ยังคงเห็นว่าข้างในยังเหมือนเดิม ขอเพียงท่านใคร่ครวญได้ว่าปัญหานี้เกิดขึ้นจริง นั่นก็บรรลุเป้าหมายในจดหมายฉบับนี้ของข้าแล้ว”
วสุพล ยอดเกตุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี