วันอังคาร ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
“ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” คำร้องท่อนนี้จาก “เพลงชาติไทย” ที่ประพันธ์โดย พ.อ.หลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) และเริ่มร้องกันมาตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2482 นั้น ณ สถานการณ์ในวันนี้ก็ยังต้องยกมาปลุกใจด้วยความตระหนักรู้ ว่าอริราชศัตรูอย่างเขมรที่เปรียบเหมือนอสรพิษนั้น ไว้วางใจไม่ได้จริงๆ
“ปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์” ที่จะนำไปสู่สันติภาพอย่างยั่งยืนระหว่าง “ไทย-กัมพูชา” ที่ลงนามโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทย กับ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่26 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่ประเทศมาเลเซีย โดยมีประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ และ “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เป็นสักขีพยานนั้น เพิ่งจะผ่านมาได้ 15 วัน ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากเหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ เมื่อเช้าวันที่10 พฤศจิกายนเมื่อวานนี้ ชุดลาดตระเวนจากกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ของไทย ก็ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดที่ทหารกัมพูชาลักลอบเข้ามาฝังในดินแดนไทย ระหว่างปฏิบัติภารกิจในพื้นห้วยตามาเรียอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นผลให้กำลังพล2 นายได้รับบาดเจ็บ คือ จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ สมาพงษ์ ข้อเท้าขวาขาด และ พลฯวชิระ พันธนา มีอาการแน่นหน้าอกจากแรงอัด
จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ สมาพงษ์ นับเป็นกำลังพลคนที่ 7ของกองทัพแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ต้องพิการเสียขา จากสงครามรุกรานไทยของกัมพูชา และนับเป็นเหยื่อรายล่าสุดของทหารไทย ที่ต้องสังเวย “ปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์” ให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์ และ “อันวาร์อิบราฮิม” ในฐานะคนกลางผู้นำสันติภาพจอมปลอมมาให้ “ไทย-กัมพูชา” จับมือหย่าศึกกัน
คนไทยต้องไม่ลืมว่า กัมพูชาสร้างรอยแค้นไว้กับประเทศไทยไว้อย่างไรบ้าง ทั้งที่เราเป็นมิตรประเทศที่ให้เกียรติและให้ความช่วยเหลือสนับสนุนแก่กัมพูชามาอย่างดีและยาวนาน ในฐานะเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกัน อย่างน้อยก็มีทหารไทย 6 นาย ซึ่งทุกวันนี้ต้องกลายเป็นผู้พิการ จากการเหยียบทุ่นระเบิดที่ทหารกัมพูชาลักลอบเข้ามาฝังในดินแดนไทย อันเป็นบาดแผลที่เราควรจะต้องจดจำ ว่ากัมพูชาทำกับไทยไว้อย่างไรบ้าง
ทหาร 6 นาย ที่นักการเมืองอย่างพรรคประชาชนพูดแบบคนรุ่นใหม่ที่สิ้นคิดว่า “มีทหารไว้ทำไม” ซึ่งได้กลายเป็นผู้พิการขาขาดจาก “ทุ่นระเบิด” จากการลอบกัดของทหารกัมพูชา ที่สมควรต้องเชิดชูสดุดี ว่าเป็นทหารกล้าผู้ยอมสละชีวิตให้แก่ชาติบ้านเมืองโดยแท้จริงนั้น-ประกอบด้วย
พลทหารธนพัฒน์ หุยวัน ทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ข้อเท้าซ้ายขาด จากการเหยียบทุ่นระเบิดขณะลาดตระเวนที่เนิน 481 บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี-เหตุเกิดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568
จ.ส.อ.พิชิตชัย บุญชูหล้า สังกัดพัน.ร.14 (กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 14) ออกลาดตระเวนกับชุดลาดตระเวน 6 นาย บริเวณพื้นที่ห้วยบอนช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี เหยียบทุ่นระเบิดทำให้ต้องตัดขาขวา-เหตุเกิดเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568
ร.ต.เกียรติวงศ์ สถาวร หรือ “หมวดบุ๊ค” สังกัด รพศ.2 พัน 2 (กองพันรบพิเศษที่ 2 กรมรบพิเศษที่ 2)ขาขวาขาดจากการเหยียบทุ่นระเบิด ระหว่างยิงเปิดทางให้กองกำลังของ ร.31 รอ. (กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์) ขึ้นไปบุกยึดปราสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์ ช่วง 5 นาที สุดท้ายก่อนหยุดยิงตามข้อตกลง “หยุดยิงอย่างไม่มีเงื่อนไข” ที่นายภูมิธรรม เวชยชัย ไปลงนามกับ “ฮุน มาเนต” ที่ประเทศมาเลเซีย ในวันที่ 28 กรกฎาคม2568 ซึ่งก่อนเที่ยงคืนที่เป็นเส้นตายในวันนั้น “หมวดบุ๊ค” ก็ต้องเสียขาเพื่อเซ่นสังเวยตามข้อตกลงนี้
จ.ส.อ.ธานี พาหา สังกัด พัน ร.14 (กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 14) เหยียบทุ่นระเบิด ระหว่างเดินลาดตระเวนเส้นทาง เพื่อวางลวดหนามป้องกันพื้นที่ บริเวณรอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา จังหวัดศรีสะเกษ เป็นผลทำให้ข้อเท้าซ้ายขาด-เหตุเกิดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2568
ส.อ.ธีรพล เพียขันที สังกัด ร้อย.ทพ.2610 (หน่วยทหารพรานร้อย.ทพ.2610) ระหว่างลาดตระเวนบริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งแรงระเบิดส่งผลให้ขาซ้ายขาด-เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568
และรายที่ 6 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ซึ่งเป็นรายสุดท้ายหลังเจรจา “หยุดยิงอย่างไม่มีเงื่อนไข” เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ก่อนที่จะเกิดเหตุล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน เมื่อวานนี้คือ “พลทหารอดิศร ป้อมกลาง” สังกัดกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 23 เหยียบทุ่นระเบิดบริเวณปราสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์ ส่งผลให้ข้อเท้าขวาขาด
ทั้งหมดนี้ จากเหตุที่เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อวานนี้ทำให้ จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ สมาพงษ์ ต้องกลายเป็นผู้พิการข้อเท้าขวาขาด นั้น รัฐบาลโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล จะดำเนินการเพียงแค่ตอบโต้กัมพูชาด้วยการประท้วงอย่างเดียวเห็นจะไม่พอ
แต่ควรที่จะต้องทบทวน “ปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์” ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล ไปลงนามกับ “ฮุน มาเนต” แบบวาดฝันว่าจะไปสู่สันติภาพอันยั่งยืนระหว่าง “ไทย-กัมพูชา” แต่ด้วยระยะเวลาผ่านไปไม่กี่วัน ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า จะเป็นได้ก็เพียงแค่ “สันติภาพจอมปลอม” บนโต๊ะเจรจา
ถึงที่สุดแล้ว สมควรต้องฉีก “ปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์” ทิ้ง และใช้มาตรการสูงสุดดำเนินการกับกัมพูชา ด้วยการ “ประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตโดยสิ้นเชิง”
เพราะประเทศเรารักสงบแบบ “ไทยนี้รักสงบ” โดยเป็นฝ่ายที่ยอมเขมรสันดานอสรพิษเหมือนตกเป็นเบี้ยล่างตลอดมา วันนี้จึงสมควรแก่เวลา “แต่ถึงรบไม่ขลาด” กันได้แล้ว !
รุ่งเรือง ปรีชากุล

‘รมว.ศธ.’ห่วงใยสถานการณ์น้ำทั่วประเทศ กำชับเฝ้าระวัง 24 ชม. ดูแลครู-นักเรียนใกล้ชิด
นายกฯเตรียมลงพื้นที่ศรีสะเกษ-อุบลราชธานี ให้กำลังใจกำลังพลพรุ่งนี้
'สส.ท็อป-สส.ยอร์ช'มอบถุงยังชีพ อธิบายเส้นทางน้ำจาก'เหนือ'ออก'อ่าวไทย'
'อนุทิน'ลั่น! เนรเทศด่วน ผู้ลักลอบเข้าเมือง ย้ำชัด'ไทยไม่ใช่พื้นที่พักพิงอาชญากรข้ามชาติ'
เรื่องราว‘ทีมหมอนทอง’ โมเดล-ต่อยอด สร้างความสมัครสมานสามัคคี

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี