วันพุธ ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนวานนี้ รัฐบาลไทยได้ประกาศระงับใช้“ปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา”ที่มีการลงนามกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่ประเทศมาเลเซีย นั่นก็เท่ากับว่าจากนี้ไปประเทศไทยโดยฝ่ายกองทัพสามารถใช้ปฏิบัติการทางทหารตอบโต้กัมพูชาได้ทุกเมื่อ ถ้ากัมพูชาละเมิดอธิปไตยไทย ไม่ว่าจะเป็นการลอบวางทุ่นระเบิดในดินแดนไทย หรืออะไรก็ตามที่ถือว่าเป็นการรุกรานไทย
ทั้งนี้ จากการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธานในที่ประชุม อันมีผลสืบเนื่องมาจากเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดของกัมพูชา บริเวณห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้ทหารไทยต้องสูญเสียขาเป็น“ขาที่ 7”นับแต่กัมพูชาก่อสงครามรุกรานไทยเป็นต้นมานั้น ที่ประชุมสมช. ได้มีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงกลาโหม และกระทรวงต่างประเทศ ระงับการดำเนินการตามสนธิสัญญาสันติภาพที่ลงนามที่ประเทศมาเลเซียอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาจะลดลง
นอกจากนั้น ที่ประชุม สมช.ยังเห็นชอบให้กระทรวงกลาโหมสามารถใช้มาตรการดำเนินการทางทหารได้อย่างเต็มที่เพื่อพิทักษ์รักษาผืนแผ่นดินไทยขณะที่กระทรวงการต่างประเทศได้รับมอบหมายให้ทำการประท้วงและทักท้วง ตลอดจนสื่อสารทำความเข้าใจกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศผู้สังเกตการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
และสำหรับกระทรวงมหาดไทยที่กำกับดูแลเรื่องความมั่นคงภายใน ได้รับมอบหมายให้เตรียมพร้อมทำความรู้ความเข้าใจกับประชาชนใน 7 จังหวัดที่มีพรมแดนติดกับกัมพูชา ในกรณีที่อาจเกิดเหตุปะทะหรือเกิดสงคราม และรวมทั้งกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ประชุม สมช.ยังมีมติให้ทำแผนซักซ้อมในหลุมหลบภัยเป็นประจำ เพื่อรองรับกรณีมีเหตุฉุกเฉิน โดยทั้งหมดนี้ให้ทุกกระทรวงและทุกหน่วยงานถือปฏิบัติอย่างเข้มข้น
ทางด้าน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นผู้เปิด“ไฟเขียว”ให้กองทัพไทยสามารถปฏิบัติการทางทหารได้ตามสถานการณ์ โดยได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม สมช.ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้“เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้” เนื่องจากการที่มีทุ่นระเบิดในพื้นที่อธิปไตยของไทย ถือว่ามีผลกระทบต่ออธิปไตย ทั้งนี้ พล.อ.ณัฐพลยังกล่าวด้วยว่า “รัฐบาลจะปกป้องอธิปไตย ชีวิตของคนไทย และทหารไทยอย่างเต็มขีดความสามารถ ซึ่งที่ประชุม สมช.ได้มีมติระงับการปฏิบัติตามปฏิญญาไว้ก่อนทั้งหมดทุกข้อ และยุติการส่งเชลยศึก 18 คนให้แก่กัมพูชา”
ผู้สื่อข่าวถามพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ว่า“จะมีการยกระดับมาตรการใดๆ หรือไม่”, พล.อ.ณัฐพล ตอบว่า“ตอนนี้ก็ยกระดับแล้ว ในเมื่อเรายุติการปฏิบัติตามปฏิญญาแล้วก็เป็นการปฏิบัติการทางทหารในเขตอธิปไตยของไทย ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ว่า จะมีปฏิบัติการอย่างไรบ้าง”
ส่วน นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวภายหลังการประชุม สมช.เช่นกันว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้ทหารไทยต้องเสียขาเป็น“ขาที่ 7”นั้น ถือว่า การกระทำของกัมพูชา เป็นการละเมิดปฏิญญา“ไทย-กัมพูชา” ท่าทีของประเทศไทย คือการระงับการปฏิบัติตามปฏิญญา โดยที่ในส่วนไหนที่ไทยสามารถดำเนินการฝ่ายเดียวได้ เช่น การเก็บกู้ทุ่นระเบิดก็จะดำเนินการต่อ
นอกเหนือจากนั้น นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะประท้วงเป็นลายลักษณ์อักษรต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตามกรอบอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งได้คุยกับนายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาไปแล้ว ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเป็นการละเมิดสิ่งที่ตกลงกันไว้ รวมทั้งยังได้ชี้แจงกับสหรัฐอเมริกา และมาเลเซีย ที่เป็นสักขีพยานในการลงนามว่า เหตุใดไทยต้องระงับการดำเนินการตามปฏิญญา ตลอดจนชี้แจงข้อเท็จจริงไปที่ประชาคมโลก โดยประสานไปทางกองทัพไทย และกองทัพบก เพื่อนำข้อเท็จจริงต่างๆ ไปชี้แจงเพื่อให้เกิดความหนักแน่นและชอบธรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ย้ำว่า “หากต้องการให้ปฏิญญากลับไปสู่สิ่งที่ควรจะเป็น จำเป็นที่ฝ่ายกัมพูชาต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น การแสดงความเสียใจ การตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ และมีมาตรการเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย”
จะอะไรก็ตามแต่ สมมุติว่า นับจากนี้ไปถ้ากัมพูชายังไม่ยอมลดราวาศอกกับไทย และยังคงมีท่าทีเหมือนเดิม จนทำให้ไทยต้องใช้กำลังทหารเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ อันอาจจะบานปลายกลายเป็นสงครามใหญ่ระหว่าง 2 ประเทศได้นั้น เมื่อเปรียบทียบกำลังรบและอาวุธยุทโธปกรณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่าใครมีศักยภาพมากน้อยต่างกันอย่างไร-พบว่า
ถ้ารบกันวันนี้ ไทยน่าจะมีโอกาสเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ เนื่องจากกองทัพไทยมีความแข็งแกร่งกว่ากัมพูชาในหลายด้าน เช่นว่า กำลังพลไทยมีประมาณ 3.6 แสนนายของกัมพูชามีประมาณ 1.2 แสนนาย โดยที่ไทยยังมีทหารกองหนุนอีก 2 แสนนาย แต่กัมพูชาไม่มีแม้แต่คนเดียว, ไทยมีรถถังที่ทันสมัยกว่า อาทิ “VT-4” และ “Oplot” ในขณะที่กัมพูชามี “T-55”รุ่นเก่า หรือแม้กระทั่งเครื่องบินรบ ทางฝ่ายกัมพูชาไม่มีประจำการแม้แต่ลำเดียว แต่ไทยมีทั้ง“Gripen” และ “F-16” รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 72 ลำ ส่วนเรือรบ ไทยมี 293 ลำ กัมพูชา มี 20 ลำเป็นต้น
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม มีข้อที่ควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่งก็คือ ถ้าไทยจำเป็นต้องใช้กำลังทหารทางภาคพื้นดินและใช้เครื่องบินรบปฏิบัติการ“หยอดไข่”เป้าหมายทางทหารของกัมพูชา ไทยจะได้รับการสนับสนุนในเวทีโลกหรือไม่นั้นนี่คือปัญหาใหญ่
โดยที่ไทยอาจจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศต่างๆ ในเวทีโลกก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน เนื่องจากหลายประเทศอาจมองว่าไทยใช้กำลังเกินกว่าเหตุ อันเป็นการละเมิดหลักการของอาเซียนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี แต่ถึงกระนั้น ถ้าหากไทยสามารถแสดงหลักฐานที่ชัดเจนว่า กัมพูชาละเมิดอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง โดยที่ฝ่ายไทยได้พยายามใช้วิธีการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีแล้ว แต่ไม่เป็นผล ไทยอาจก็อาจจะได้รับการสนับสนุน เพราะการกระทำของกัมพูชาเท่ากับเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพในภูมิภาคนี้
สุดท้ายแล้ว ถ้าถามใจคนไทยเวลานี้ คำตอบจากเสียงส่วนใหญ่ ก็คือ-“รบให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย จะได้สิ้นเรื่อง” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล

'Fix it-อาชีวะจิตอาสา'ลุยช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา
มือไวระวัง! ตร.ไซเบอร์ชี้'โพสต์-แชร์คลิป' เต้นโชว์เห็ดหูหนู เข้าข่าย'นำเข้าข้อมูลลามก'คุก5ปี
ดวลเดือด8นัด! โจรทองปลอมบุกชิง2แสน เจ้าของร้านฮึดสู้ คนร้ายหนีไม่รอด...จบชีวิตคาร้าน!
ลุงวัย 57 ปี ยิงเพื่อนบ้านดับ หลังทะเลาะกันเรื่องวัวเหยียบนาข้าว
ด่วน! ครอบครัวขายขนมจีน เสียชีวิตปริศนา 5 ศพ ภายในบ้าน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี