วันพุธ ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568
หลังจากทหารไทยยึดปราสาทตาควาย ที่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ กลับคืนมาได้จากที่ต้องเสียให้กัมพูชาไปจากการหยุดยิงแบบสิ้นคิดรอบที่แล้วเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ก็ปรากฏว่ามีเสียงจากคนในแวดวงสื่อที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งคือ “ประวิตร โรจนพฤกษ์” เป็นการด้อยค่ารัฐบาลและกองทัพว่า
“ยังนึกไม่ออกว่า นี่ยึดปราสาทตาควายได้แล้วจะรักษาไว้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องเอาทหารเป็นร้อยไปนั่งตบยุงเฝ้าพร้อมอาวุธหนักครบมือตลอด 24 ชั่วโมง ไปชั่วกัลปาวสานได้อย่างไร ?”
คำพูดดังกล่าวนั้น เหมือนไม่ใช่คนไทยพูด เพราะปราสาทตาควายแห่งนี้ เป็นโบราณสถานซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนไทยและเขตอธิปไตยของไทย ที่ช่องตาควายในพื้นที่บ้านไทยนิยมพัฒนา หมู่ 17 ตำบลบักได อำเภอพนมดงรักจังหวัดสุรินทร์ โดยตั้งอยู่บนสันเขาของเทือกเขาพนมดงรักและห่างจากปราสาทตาเมือนธม ที่ตั้งอยู่ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก ประมาณ 12 กิโลเมตร
เรายึดมาได้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา อย่างน้อยก็เท่ากับว่า เรายึดดินแดนภายใต้อธิปไตยของเราที่ถูกกัมพูชารุกรานและรุกล้ำกลับคืนมาได้ และกว่าจะได้มานั้น ต้องแลกด้วยชีวิตของทหารที่พลีชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติไทยเรา และที่รอดมาได้ยังมีชีวิตอยู่หลายนายก็ต้องกลายเป็นคนพิการเสียขา
เรื่องนี้ “ประวิตร โรจนพฤกษ์” อาจจะจำความสั้นจึงลืมไปว่า กัมพูชาโดยสองพ่อลูกตระกูลฮุน คือ “ฮุนเซน-ฮุน มาเนต” ก่อสงครามรุกรานไทยครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง ก็เพราะต้องการจะยึดปราสาทตาควายแห่งนี้ไปเป็นของกัมพูชา รวมทั้งปราสาทอีก 2 หลังที่อยู่ในพื้นที่ที่ไม่ไกลจากกัน คือ ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาเมือนโต๊ด
ก่อนที่กัมพูชาจะเปิดสงครามจากการรุกรานไทยครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 นั้น “ฮุน มาเนต”นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ก่อนประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่จะมีในวันรุ่งขึ้นว่า การประชุม JBC จะไม่มีการเจรจาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต เนื่องจากกัมพูชาได้ตัดสินใจที่จะส่งประเด็น 4 พื้นที่ดังกล่าวนี้ไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ “ศาลโลก”
และการประชุม JBC ที่กรุงพนมเปญในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 โดย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นประธานร่วมฝ่ายไทย และนายฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดนและหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา เป็นประธานร่วมฝ่ายกัมพูชา ก็ไม่ได้มีการหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเจรจาตามที่ “ฮุน มาเนต” บอกไว้ก่อนแล้ว และถัดจากนั้นอีกหนึ่งวัน คือในวันที่ 15 มิถุนายน 2568 “ฮุน มาเนต” ก็ได้โพสต์ลงในเฟซบุ๊กว่า
“วันนี้ 15 มิถุนายน 2568 รัฐบาลกัมพูชาได้ส่งจดหมายอย่างเป็นทางการถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อขอแก้ไขข้อพิพาทชายแดนในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต”
การยื่นเรื่องให้ “ศาลโลก” เพื่อขอแก้ไขข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่ทั้ง 4 นี้ ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือ กัมพูชาต้องการจะเอาให้ได้นั้น กัมพูชายังได้แสดงเชิงสัญลักษณ์จากการยื่นในวันที่ 15 มิถุนายน 2568 เพราะเป็นวันและเดือนเดียวกันกับเมื่อ 63 ปีที่แล้ว ซึ่งศาลโลกได้ตัดสินให้กัมพูชาชนะคดีปราสาทพระวิหารเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505
อีกทั้งจากการโพสต์เฟซบุ๊กครั้งนี้ “ฮุน มาเนต” ยังได้สื่อสารถึงประชาชนชาวกัมพูชาว่า “กัมพูชาต้องการเพียงความยุติธรรม ความเป็นธรรม และความชัดเจนในการกำหนดเขตแดนและขอบเขตกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อที่คนรุ่นหลังของเราจะไม่มีปัญหากันอีกต่อไป ขอให้เพื่อนร่วมชาติของเราไว้วางใจรัฐบาลกัมพูชา ในความพยายามที่จะดำเนินงานนี้ด้วยความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบที่เข้มแข็ง เพื่อปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนของเราและเพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติและประชาชนกัมพูชา”
อย่างไรก็ตาม นอกจาก “ฮุน มาเนต” แล้ว “ฮุนเซน”ผู้มีอำนาจที่แท้จริงเหนือนายกรัฐมนตรีที่เป็นบุตรชาย ก็ยังได้ประสานเสียงเหมือนเป็นต้นคิด โดยพูดถึงเรื่องนี้ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 หลังจากปล่อยให้ “ฮุน มาเนต”ออกมาเปิดประเด็นก่อน จากการโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก “Samdech Hun Sen of Cambodia” เรียกร้องให้นานาประเทศร่วมกันกดดันรัฐบาลไทย ให้ยุติข้อพิพาทพรมแดนกับกัมพูชาผ่าน “ศาลโลก” ว่า
“กัมพูชา ขอให้ประเทศที่เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ สนับสนุนให้ประเทศไทยแก้ไขข้อพิพาทเขตแดนร่วมกับกัมพูชาผ่านกระบวนการของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) โดยเฉพาะใน 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต, ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ดและปราสาทตาควาย ซึ่งกัมพูชาไม่ได้ร้องขออาวุธหรือกระสุนที่นำไปสู่การนองเลือดกับประเทศไทย แต่กัมพูชาต้องการการสนับสนุนให้หันหน้าเข้าสู่แนวทางสันติวิธี ผ่านการเจรจาทวิภาคีและกระบวนการทางกฎหมาย”
ขณะที่ในวันเวลาไล่เลี่ยกัน ทางฝ่ายไทยโดย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ซึ่งดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2ในขณะนั้น ได้ไปบรรยายพิเศษให้แก่นักเรียนนายร้อย จปร.ปี 5 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 โดยได้กล่าวถึงกรณีที่กัมพูชาว่าจะนำเรื่อง 3 ปราสาท และสามเหลี่ยมมรกตขึ้นศาลโลก ว่า “แผ่นดินอยู่ตรงนี้มานานแล้ว ถ้าจะเอาก็ดวลกันก็จบ ไม่เห็นจะยากอะไร”
ในที่สุดกัมพูชาก็เปิดฉากรุกรานไทยวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 พร้อมกับการยึดปราสาทตาควายไปได้ในวันหยุดยิงรอบแรกเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 และฝ่ายเราสามารถยึดกลับคืนมาได้ในวันที่ 15 ธันวาคม 2568 จากสงครามรุกรานรอบใหม่ที่กัมพูชาเป็นผู้ก่อ
บรรทัดนี้ขอยกคำพูดของชาวบ้านที่พูดๆ กันหลังจากเรายึดปราสาทตาควายกลับคืนมาได้ว่า “ทหารยอมพลีชีพเพื่อแผ่นดินของเรา และถ้าวันนี้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนให้แก่เขมร ถามว่าจะมีที่ให้ยืนเห่าหอนกันไหม” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล

ต้นตำหรับ! มวยไทยทะลุชิง15รุ่นซีเกมส์
‘ตำรวจภูเก็ต’รวบแก๊งลักรถจักรยานยนต์ พร้อมของกลาง นำส่งคืนเจ้าของ 4 คัน
เฮรวดสองนัด!กุนซือโต๊ะเล็กลั่นชนะทุกนัดเพื่อคว้าทอง
ด่วนที่สุด! ทหารไทยพลีชีพเพิ่ม 2 นาย ณ สมรภูมิเนิน 350 ยังไม่สามารถนำร่างออกจากพื้นที่ได้
‘ตม.ภูเก็ต’จับชายชาวคาซัคสถาน ติด‘หมายแดง’คดีฉ้อโกง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี