ฉบับก่อนผมได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของแพทยสภา ซึ่งอยู่ในมาตรา 7ของ พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม 2525 ฯลฯ ซึ่งผมได้สรุปสั้นๆ ว่าแพทยสภามีหน้าที่ดูแลความ “ดี” และความ “เก่ง” ของแพทย์นั่นเอง จากนี้ผมได้ไปศึกษาการฟ้องร้องของแพทย์ย้อนหลังพบว่าสาเหตุของการฟ้องร้องของแพทย์ก่อนการพิจารณาของแพทยสภามีดังนี้(ปี 2531-2545) คือ 1) ไม่รักษามาตรฐาน จำนวน 774 ครั้ง2) โฆษณาการประกอบวิชาชีพของตน จำนวน 215 ครั้ง 3) ไม่คำนึงถึงความปลอดภัย, สิ้นเปลือง จำนวน 200 ครั้ง 4) ดำรงตนโดยไม่เคารพกฎหมาย จำนวน 171 ครั้ง 5) การปฏิบัติตนเกี่ยวกับสถานพยาบาล จำนวน 116 ครั้ง 6) ออกใบรับรองเท็จ จำนวน 109 ครั้ง 7) สนับสนุนการประกอบวิชาชีพฯ ผิดกฎหมาย จำนวน 100 ครั้ง
จะเห็นได้ว่าสาเหตุของการฟ้องร้องเกิดจากความ “เก่ง” ในข้อหนึ่ง ส่วนข้ออื่นๆ เป็นสาเหตุที่มาจากความ “ดี” (หรือไม่ดี) ของแพทย์ และในข้อหนึ่งเองที่ “ไม่รักษามาตรฐาน” ก็ไม่ใช่ว่าแพทย์ไม่มีมาตรฐาน หรือไม่ “เก่ง” แต่อาจเกิดขึ้นเพราะมีแพทย์น้อยขาดอุปกรณ์ งบประมาณ ทำให้แพทย์มีงานหนักเกินไป อาจทำให้ง่วง เหนื่อย ฯลฯ จึงพลาดได้ หรือแพทย์รู้ว่าควรจะทำอะไร แต่ขาดเครื่องมืองบประมาณ ที่จะดำเนินการ ซึ่งบางส่วนของข้อนี้เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลเองที่ไม่ได้สนับสนุนแพทย์ ไม่ได้กระตุ้น สนับสนุนเท่าที่ควร ให้แพทย์ไปอยู่ต่างจังหวัด ตั้งแต่ค่าตอบแทน ที่อยู่ โรงเรียนที่ดีสำหรับลูกโอกาสที่จะไปประชุมในและต่างประเทศ ความก้าวหน้าทางวิชาการและในวิชาชีพ ความปลอดภัย อุปกรณ์สำหรับการทำงานที่ดี งบประมาณและเวลาสำหรับการพักร้อนที่เพียงพอ ฯลฯ
ผมได้เข้ามาเป็นเลขาธิการแพทยสภาในเดือนกุมภาพันธ์ 2546 (และเป็นอยู่ 2 วาระ 4 ปี) จากการดูข้อมูลที่แพทยสภาตั้งแต่ 2531 จนถึงปี 2545 พบว่าจำนวนเรื่องที่แพทย์ถูกฟ้องร้อง ปี 2531-2545 มีดังนี้ ปี 2531 มี 52 เรื่อง, ปี 2532 มี 55 เรื่อง, ปี 2533 มี 59 เรื่อง, ปี 2534 มี 27 เรื่อง, ปี 2535 มี 57 เรื่อง, ปี 2536 มี 64 เรื่อง,ปี 2537 มี 65 เรื่อง, ปี 2538 มี 33 เรื่อง, ปี 2539 มี 68 เรื่อง, ปี 2541 มี 89 เรื่อง, ปี 2542 มี 173 เรื่อง, ปี 2543 มี 287 เรื่อง, ปี 2544 มี 257 เรื่อง และปี 2545 มี 289 เรื่อง ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการฟ้องร้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในปี 2542 ได้มีการฟ้องร้องเพิ่มเกินร้อยเรื่องเป็นครั้งแรก และเพิ่มเกือบ 100% จากปี 2541
ถึงแม้ว่าจำนวนการฟ้องร้องมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2531 ซึ่งมี 52 เรื่อง จนในปี พ.ศ.2545 มี 289 เรื่อง แต่อาจจะไม่ใช่ภาพที่แท้จริง เพราะในปี พ.ศ.2531 มีแพทย์และประชาชนน้อยกว่าในแต่ละปี พ.ศ.2545 ฉะนั้นการฟ้องร้องของแพทย์ต่อประชาชน อาจไม่ได้เพิ่ม หรือเพิ่มน้อยมากก็เป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีข้อมูลว่าการฟ้องร้องในภาพรวมมีมากขึ้นและสาเหตุของการฟ้องร้องแพทย์มาจากความ “เก่ง” และความ “ดี” ผมจึงได้ออกไปเยี่ยมแพทย์ ภายใน 4 ปีที่ผมเป็นเลขาธิการ เกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีปัญหาความไม่สงบ และ 5 อำเภอของจังหวัดสงขลา ผมได้ไปเยี่ยมทุกโรงพยาบาล รวมทั้งโรงพยาบาลชุมชนด้วย เพื่อเป็นการกระตุ้น สนับสนุน ให้กำลังใจแพทย์ และขอให้แพทย์ทุกๆ ท่านทราบว่าสาเหตุของการฟ้องร้องมีอะไรบ้างและผมเพียงขอให้แพทย์ทุกท่านทราบว่าควรทำ ไม่ควรทำอะไร ปรากฏว่าในปี 2546 ภายในปีเดียวกับที่ผมได้เริ่มไปคุยกับแพทย์ ได้มีการลดการฟ้องร้องของแพทย์ทันที คือในปี 2546 มีการฟ้องร้อง 251 เรื่อง และปี 2547 มี 222 เรื่อง (โดย 2545 มีการฟ้องร้อง 289 เรื่อง)
ผมได้สอนนิสิตแพทย์ แพทย์ ให้เป็นคนดี ที่เก่ง (และมีความรอบรู้ สุขภาพที่ดี) มานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนผมไปเป็นเลขาธิการแพทยสภา ผมจึงดีใจและภูมิใจว่า สิ่งที่ผมคิดและสอนให้ลูกศิษย์เป็นนั้น(ผมสอนพิเศษช่วงเช้า 07.00-08.00 น. มานานมาก สอนไปคิดไปว่าเราต้องการให้ลูกศิษย์มีคุณสมบัติอะไร จนในที่สุดตกผลึกว่าลูกศิษย์ควรเป็นคนดี ที่เก่ง ที่รอบรู้ และที่มีสุขภาพดี) ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง ปัจจุบันนี้ผมจึงแนะนำแพทย์ทุกๆ ท่าน ทุกแห่ง (รวมทั้งประชาชนด้วย) ว่าถ้าเราเป็นแพทย์ที่ดีและเก่ง เราน่าจะปลอดภัยจากการถูกฟ้องร้องพอสมควร
แต่ผมก็ยังสอนลูกศิษย์จนถึงทุกวันนี้ ให้มีการเรียนรู้ตลอดเวลา ตลอดชีวิต ต้องติดตามข้อมูลข่าวสาร ความรู้ วิชาการ ทางการแพทย์ รวมทั้งควรอ่าน Bangkok Post ในวันอังคาร เพราะใน Life Section หน้า 4 ของ Bangkok Post ในวันอังคาร จะมีบทความเรื่องสุขภาพต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อสุขภาพของประชาชนทั้งโลก ซึ่งผู้เขียนได้เอามาจากวารสารแพทย์ที่โด่งดัง เช่น Lancet, New England Journal of Medicine ซึ่งเป็นผลงานวิจัยที่สำคัญล่าสุด หรือเป็นแนวทางเวชปฏิบัติล่าสุด ที่มีผลต่อประชาชนทั่วโลก มาลงในหนังสือพิมพ์นี้
และที่สำคัญที่สุดอีกอันหนึ่งคือ อาจารย์แพทย์จะต้องสอนศิษย์ให้เรียนเป็น เรียนเป็นระบบ สามารถดูออกว่าอะไรเป็นหลักในการวินิจฉัยโรคได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ หรือที่ผมเรียกว่าหัวใจของโรคนั่นเอง
สรุปก็คือ แพทย์ต้องช่วยตัวเองก่อน เพื่อไม่ให้ถูกฟ้องร้องด้วยการเป็นคนดี ที่เก่ง (เรียนรู้ตลอดเวลา จับประเด็น สรุปเป็น) เพราะถ้าเราจะพึ่งคนอื่นๆ เช่น หมออาวุโส รัฐบาล ฯลฯ อาจไม่มีหมอให้เราพึ่งหรือเราพึ่งรัฐบาลไม่ได้ เพราะงบประมาณมีน้อย ความต้องการมีมาก กำลังคนก็มีน้อย ฯลฯ
ฉะนั้นต้องเรียนรู้ หัด ให้ตัวเราสามารถช่วยตนเองให้มากที่สุดจะดีที่สุดครับในทุกเรื่องของชีวิต
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี