ถือเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ที่โซเชียลมีเดียไทย แชร์เรื่องหนึ่งเรื่องใดมาโดยไม่ได้ตรวจสอบ “ความจริง-ความเท็จ-ความคลาดเคลื่อน” แต่ล้อมวงด่ากันมันปาก แล้วส่งคำด่าต่อกันเป็นระลอกๆ จนไกลจาก “ความจริงต้นเรื่อง” มากขึ้นทุกที
เช่นในขณะนี้ ที่กำลังด่า “นางออง ซาน ซู จี” ที่ปรึกษาแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งเดินทางมาเยือนประเทศไทยในฐานะ “แขกของรัฐบาลไทย” กันระงมไปหมด โดย “อารมณ์เสีย” จาก “ความจริงที่คลาดเคลื่อน เพราะไม่ตรวจสอบให้ชัด” ว่า ออง ซาน ซู จี เสนอเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ของแรงงานเมียนมา 5 ข้อ ซึ่งมันมากไปแล้วนะ เอาแรงงานของแกกลับไปเลย ฯลฯ บางคนหนักถึงขั้นขุดอดีตเมื่อร้อยๆ ปีก่อนมารวมด้วย ว่า เห็นซากปรักหักพังของอยุธยาแล้วยังแค้น!
มาใช้ “สติ” และ “ปัญญา” หา “ความจริงกันก่อน
1) ควรทราบว่า ข้อเสนอ 5 ข้อที่ส่งต่อแล้วร่วมบรรเลงฝีปากด่าสมทบกันเข้าไปเรื่อยๆ อยู่ในเวลานี้ หาใช่ข้อเสนอที่นางออง ซาน ซู จี ไม่ (แต่นางถูกด่าฟรีไปเรียบร้อยแล้ว และยังด่าไม่จนจนถึงวันนี้)
2) ความจริงก็คือ เมื่อ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา (ก่อนนางออง ซาน ซู จี จะเดินทางมาถึงประเทศไทย) นายสมพงษ์ สระแก้วผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (แอลพีเอ็น) กล่าวว่า ตนพร้อมด้วยเครือข่ายแรงงานเมียนมา ได้ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่สถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทย เกี่ยวกับข้อเรียกร้องที่ต้องการให้รัฐบาลเมียนมาและนางออง ซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งจะมาเยือนประเทศไทยในระหว่างวันที่ 23-25 มิถุนายนนี้ รับทราบ โดยจะยื่นข้อเรียกร้องผ่านเจ้าหน้าที่ทางการเมียนมาที่เดินทางมากับนางออง ซาน ซู จี
ข้อเรียกร้องที่นายสมพงษ์เตรียมไว้ มี 5 ข้อ ได้แก่
1.ขอให้รัฐบาลเมียนมาร่วมกับรัฐบาลไทยเปิดจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติและผู้ติดตามรอบใหม่ เนื่องจากขณะนี้ยังมีแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย และลักลอบทำงานในไทยประมาณ 1-2 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานเมียนมา รวมทั้งขอให้รัฐบาลเมียนมาจัดส่งทีมเจ้าหน้าที่และจัดตั้งศูนย์พิสูจน์สัญชาติแรงงานพม่าร่วมกับทางการไทย เพื่อให้สามารถออกเอกสารรับรองสถานะและสัญชาติได้อย่างรวดเร็ว โดยออกเป็นหนังสือแสดงตัวบุคคล ซึ่งไม่ใช่หนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ก่อน และออกเป็นพาสปอร์ตภายหลัง ทั้งกลุ่มแรงงานเมียนมาที่จดทะเบียนใหม่และกลุ่มที่ขึ้นทะเบียนไว้แล้ว แต่อยู่ระหว่างรอพิสูจน์สัญชาติ
2.ขอให้ประสานกับทางการไทย ติดตามและบังคับใช้กฎหมายให้นายจ้างไทย จ่ายค่าจ้างตามข้อกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท เนื่องจากขณะนี้นายจ้างบางส่วน ทั้งในกรุงเทพฯ สมุทรสาคร และจังหวัดต่างๆ ยังจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าวันละ 300 บาท
3.ประสานงานกับทางการไทย เพื่อให้สิทธิแรงงานเมียนมาที่มีบัตรสีชมพู สามารถเดินทางไปยังจังหวัดต่างๆ ได้ โดยไม่ถูกจำกัดการเดินทางอยู่ในจังหวัดที่ทำงานเท่านั้น
4.ขอให้ลงนามบันทึกความร่วมมือ (เอ็มโอยู) ระหว่างทางการไทยกับเมียนมา ในการนำเข้าแรงงานเมียนมา มาทำงานในไทย โดยผ่านระบบรัฐต่อรัฐ ไม่มีกระบวนการนายหน้าเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์
และ 5.ขอให้ทางการไทยดูแลบุตรหลานแรงงานเมียนมาให้ได้รับการศึกษาและสาธารณสุข รวมทั้งสามารถเทียบโอนวุฒิการศึกษาระหว่างไทยกับเมียนมาได้
3) ความจริงจึงมีแค่ว่า มันเป็นข้อเสนอของกลุ่มเอ็นจีโอที่จะเสนอต่อ ออง ซาน ซู จี ไม่ใช่ออง ซาน ซู จี เตรียมมาเองเพื่อมาเสนอกับรัฐบาลไทย
4) ขณะที่ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ตอนเย็นๆ นางออง ซานได้เดินทางไปเยี่ยมแรงงานเมียนมา ที่หอประชุมตลาดทะเลไทย จังหวัดสมุทรสาคร โดยนางออง ซาน ซูจี ได้กล่าวกับแรงงานชาวเมียนมาที่มาต้อนรับราว 500 คน ว่า การเดินทางมาประเทศไทยครั้งนี้ คนกลุ่มแรกที่อยากพบคือชาวเมียนมาในประเทศไทย
เพราะเราเหมือนแขกที่ไปเยือนประเทศอื่น ดังนั้น ต้องรัก ต้องซื่อสัตย์ และประพฤติตนให้ดีต่อเจ้าของบ้าน มีอะไรก็พูดคุยกัน ขอเน้นย้ำเรื่องความสามัคคี รวมทั้งต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องตามกระบวนการกฎหมายในประเทศไทยด้วย บางครั้งเกิดปัญหานิดหน่อยเป็นเรื่องธรรมดา แต่ต้องรักกัน สามัคคีกัน จะได้อยู่ด้วยกันไปนานๆ และพัฒนาความร่วมมือของทั้งสองประเทศ ให้ดีขึ้นต่อไป
และได้ตอบคำถามเรื่องสวัสดิการแรงงานเมียนมาในไทยที่จำเป็นต้องมี เช่น บัตรอนุญาตทำงาน บัตรประกันสุขภาพ ก่อนที่จะมอบหมายให้นายอู เต็ง ส่วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตรวจคนเข้าเมือง และประชากรของเมียนมา ตอบคำถามเรื่องสวัสดิการและการดูแลคุ้มครองแรงงานเมียนมาในไทย ว่าจะอยู่ในเอ็มโอยูที่จะลงนามกับรัฐบาลไทย ซึ่งจะครอบคลุมความคุ้มครองตามที่แรงงานเมียนมาต้องการ รวมถึงได้ตอบคำถามของแรงงานเมียนมา อีกหลายประเด็น พร้อมย้ำต่อแรงงานชาวเมียนมาว่าจากนี้อย่าได้ใช้กระบวนการนายหน้าในการทำเอกสารใดๆ
ทั้งนี้ นางออง ซาน ซู จี กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่าจะออกเอกสารรับรองสัญชาติหรือหนังสือแสดงตัวบุคคล (CI) เพื่อให้กลายเป็นพาสปอร์ตชั่วคราวในอนาคต ภายในเดือนนี้ จะต้องเสร็จสิ้นเพื่อให้แรงงานเมียนมาทำงานได้อย่างถูกกฎหมายและเดินทางในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทยได้ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานเมียนมาต่อไป
5) ในวันเดียวกันนั้น พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน กล่าวหลังนายเต็ง ส่วย รมว.แรงงานตรวจคนเข้าเมืองและประชากรของเมียนมา เข้าหารือ ในโอกาสที่นางออง ซาน ซู จี พร้อมคณะผู้แทนจากรัฐบาลเมียนมาเยือนไทยว่า ไทยและเมียนมาจะมีการจัดระบบการจ้างงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย ตั้งแต่ต้นทาง จนกระทั่งมาทำงานในไทย จะมีการเตรียมความพร้อมให้ความรู้ด้านกฎหมาย สิทธิแรงงาน ประเพณีไทย และสภาพการทำงาน นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยได้จัดตั้งศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานตามชายแดน นำร่องที่ จ.ตาก เป็นแห่งแรก จะมีการพูดคุยในรายละเอียดว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อให้แรงงานเมียนมาที่จะเข้ามาทำงานในไทย มีทักษะฝีมือตามความต้องการของนายจ้าง ขณะนี้มีแรงงานเมียนมาในไทยกว่า 1.4 ล้านคน ต้องได้รับความคุ้มครองตามหลักสากล เช่น เรื่องสิทธิต่างๆ ความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งถ้าหากเข้ามาทำงานในไทยอย่างถูกกฎหมายแล้ว ก็จะได้ความคุ้มครองแบบเดียวกับคนไทย หลังจากที่มีการลงนามร่วมกันแล้ว ไทยและเมียนมาจะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกัน ซึ่งได้เริ่มทำโครงสร้างไว้แล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการปรับปรุงเงื่อนไขต่างๆ ที่เมียนมาเสนอ
6) วันรุ่งขึ้น คือ วันที่ 24 มิ.ย. มีรายงานว่า ภายหลังการหารือระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับนางออง ซาน ซู จี ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล ทั้งสองจะร่วมเป็นสักขีพยานพิธีลงนามความตกลงด้านแรงงาน 2 ฉบับ ระหว่าง พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กับนายเต็ง ส่วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตรวจคนเข้าเมืองและประชากรของพม่า
7) ฉบับแรก “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน” ทั้งสองฝ่ายจะยอมรับในหลักการของความเท่าเทียมและผลประโยชน์ร่วมกัน เพิ่มพูนความสัมพันธ์ ประโยชน์ระหว่างกันในการสร้างความเข้มแข็งและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงสนับสนุน พัฒนาความร่วมมือในด้านแรงงาน พร้อมมุ่งมั่นร่วมกันในการส่งเสริมนโยบายการปฏิบัติด้านแรงงานที่ดี เพื่อปรับปรุงศักยภาพและความสามารถของทั้งสองประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการจัดส่งและรับแรงงานระหว่างกัน ให้มีการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลเพื่อป้องกันการจ้างงานผิดกฎหมายและการค้ามนุษย์เพื่อการจ้างงาน พร้อมร่วมมือกันเพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อยกระดับทักษะฝีมือของกำลังคน และเพิ่มผลิตภาพแรงงานด้วย
นอกจากนี้ จะทำงานเพื่อสนับสนุนความร่วมมือทางวิชาการ เช่น การเจรจาต่อรองร่วม การร้องทุกข์และการบังคับใช้กฎหมาย การระงับข้อพิพาทแรงงาน การประกันสังคม และการคุ้มครองแรงงาน การฟื้นฟูสมรรถภาพ ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย การทำงานในเรือเดินทะเล การประกันการว่างงาน การบริหารจัดการแรงงานต่างชาติ และการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน รวมทั้งการสนับสนุนการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างบุคลากรที่เกี่ยวข้อง และผู้เชี่ยวชาญ
8) ฉบับที่ 2 “บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน” วัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาและขยายความร่วมมือระหว่างกัน ในการจัดทำกรอบการดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกในการจ้างแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส เพื่อให้มั่นใจว่า มีการดำเนินการตามกระบวนการที่เหมาะสมสำหรับการจ้างงาน มีกระบวนการส่งกลับแรงงานที่ครบกำหนดระยะเวลาการจ้างงาน ตามเงื่อนไขให้กลับประเทศต้นทางอย่างมีประสิทธิภาพ และจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศภาคี
โดยบันทึกฯ นี้ จะครอบคลุมทั้งกระบวนการส่งและรับ การคุ้มครอง สัญญาจ้าง การรับรองเอกสาร การอบรมและการให้ความรู้แรงงานก่อนการเดินทาง การตรวจลงตรา อนุญาตทำงาน บริการสุขภาพ การส่งกลับประเทศต้นทาง การระงับข้อพิพาท หน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้าง รวมทั้งความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการข้ามแดนผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์เพื่อการจ้างงาน และการจ้างแรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในกระบวนการส่งและรับจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ข้อบังคับ มีระบบการลงทะเบียนคนงานเพื่อไปทำงานต่างประเทศที่มีประสิทธิภาพ ผ่านกระบวนการสรรหาและการตรวจร่างกาย และจะได้รับการเสนอสัญญาจ้างก่อนการเดินทาง มีการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง ทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย ขั้นตอน และระยะเวลา ในการคุ้มครองแรงงานคนงานพม่าจะได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันกับแรงงานไทย บนหลักพื้นฐานของการไม่เลือกปฏิบัติ ได้รับสิทธิและประโยชน์ ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง กฎหมายแรงงานและระเบียบอื่นๆ ที่บังคับใช้ในประเทศไทย
9) ประการสำคัญ พม่าจะต้องจัดให้มีการอบรมก่อนการเดินทางให้กับคนงาน โดยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่าย เพื่อให้มั่นใจว่า คนงานมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับข้อกำหนดและเงื่อนไขของการจ้างงานและมีการประกันสุขภาพตามที่กำหนด และหากมีข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง อันเนื่องมาจากการจ้างงานจะได้รับการระงับตามกฎหมายและระเบียบของประเทศไทย สำหรับสัญญาจ้างและเอกสารอื่นๆ จะต้องจัดทำเป็นภาษาไทย ภาษาเมียนมา และภาษาอังกฤษ และรับรองโดยสถานเอกอัครราชทูตเมียนมาซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทย
10) สาระสำคัญในบันทึกความเข้าใจ จะเน้นคุ้มครองแรงงานข้ามชาติไม่ให้ถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม ที่กำหนดระยะเวลาจ้างงานคราวละ 2 ปี ให้ขยายไปได้อีก 2 ปี ส่วนแรงงานพม่าที่ทำงานจนครบสัญญา ต้องกลับไป 3 ปี จึงจะกลับมาทำงานได้ใหม่ ก็ให้เปลี่ยนเป็นเพียง 30 วัน และเน้นทำความตกลงส่งแรงงานแบบรัฐต่อรัฐ ไม่ต้องผ่านนายหน้าเพื่อแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฯ มีผลบังคับใช้มีระยะเวลา 5 ปี ส่วนของบันทึกข้อตกลงการจ้างงานฯ จะมีระยะเวลา 2 ปี ซึ่งจากการลงนามในครั้งนี้ นอกจากแสดงถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกันแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือและการแก้ไขปัญหาด้านแรงงานให้เป็นไปตามหลักสากล และมีความรับผิดชอบร่วมกัน พร้อมๆ กับการเดินไปด้วยกันอย่างมั่นคง เพื่อความผาสุกและความมั่งคั่งของประชาชนทั้งสองประเทศ
11) ผมเข้าใจและเห็นใจ ว่า หลายท่านอาจเคยพบประสบการณ์ที่เลวร้ายในการจ้างงานแรงงานพม่า พอเห็นเงื่อนไข 5 ข้อแล้ว ก็ย่อม “อารมณ์เสีย” เป็นธรรมดา ว่า “ขอมากเกินไปแล้วนะ” แต่ก็อยากให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า มันเป็นข้อเสนอจากใคร ยื่นให้ใคร ไม่ชอบใจ ไม่พอใจจะได้ด่าถูกตัว ถูกเรื่อง
หลักการสำคัญที่ต้องตระหนักก็คือ ออง ซาน ซูจี เป็นผู้นำของชาวเมียนมา แน่นอน เธอย่อมต้องปกป้องผลประโยชน์ของคนชาติเธออยู่แล้ว มันก็เหมือนกับว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ ไปสิงคโปร์ แล้วไปมีข้อเสนอเพื่อสิทธิประโยชน์ของแรงงานไทยในสิงคโปร์ ท่านสมควรจะถูกคนที่นั่นด่าท่านไหม? นี่สมมติในกรณีว่าเธอเสนอจริงๆ นะ แต่ความจริงคือ เธอไม่ได้เป็นคนเสนอไงครับ
และเอาเข้าจริงๆ 5 ข้อที่เสนอก็เป็นเรื่องที่ “ถกเถียงกันได้” อะไรให้ได้ อะไรให้ไม่ได้ มันก็มีหลักปฏิบัติสากลที่ใช้เป็นแนว “ตกลงกัน” ได้อยู่แล้ว ว่าขอมาเท่านี้ ให้ได้เท่าไหน เราก็คงไม่ยอมให้ใครมา “เอาเปรียบ” และ “ขอมากเกิน” อยู่แล้ว
พอเถอะครับ สำหรับการอารมณ์เสียโดยไม่ทันตรวจสอบต้นสายปลายเหตุว่าใครเป็นใคร แล้วด่ากันเป็นทอดๆ ไปอย่างบ้าคลั่ง ถึงเวลา “ลูกอีช่างแชร์” ต้องสร้างนิสัย “เช็คก่อนแชร์-ชัวร์ก่อนแชร์” กันบ้างแล้ว!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี