ตลอดชีวิตการงานของผมกว่า 40 ปี ได้พบเห็นและพบปะผู้คนหลากหลายมากมาย ถือเป็นทั้งโชคและเกียรติ รวมทั้งเป็นคุณค่าในการดำเนินชีวิต ทั้งในด้านคติ ข้อคิดและแนวทางปฏิบัติ เพราะได้มีโอกาสเรียนรู้ ปรับปรุงตัวเองทั้งทัศนคติและการใช้ชีวิต ในฐานะมนุษย์ที่มีโอกาสพัฒนาตนเองเพื่อสังคม
ล่าสุดผมมีโอกาสพบปะและฟังคำปาฐกถาของบุคคลท่านหนึ่ง ซึ่งจัดเป็นบุคคลชั้นนำของโลก สุภาพสตรีท่านนี้นามว่า ดร.แคทเธอรีน โคลแมน(Dr. Catherine Coleman)ซึ่งก่อนนี้พวกเราบางคน คงเคยเห็นหน้าตาผ่านจอโทรทัศน์และหน้าหนังสือพิมพ์กันมาแล้ว แต่สำหรับผมเองเพียงผ่านตา ผ่านหูโดยมิได้จดจำ
ดร.แคทเธอรีนแม้จะเป็นสตรีอเมริกันร่างเล็ก แต่ก็มีฐานะเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักบินอวกาศขององค์การนาซา (NASA)ที่มีโอกาสขึ้นจรวดไปอยู่บนยานอวกาศ (Space Capsule) เพื่อปฏิบัติภารกิจวนรอบโลกสิบกว่ารอบ และล่องลอยอยู่บนสถานีอวกาศ(Space Station) เป็นเวลาถึง 6 เดือน ยามว่างก็ถ่ายรูปโลกไว้กว่า 60,000 รูป ให้เป็นสมบัติร่วมของมวลมนุษย์ ซึ่งหาดูได้จากเว็บไซต์ของนาซา
ในโอกาสที่ผมได้ฟังปาฐกถาที่ดร.แคทเธอรีนได้รับเชิญมาร่วมกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับมุมมองและประสบการณ์ของตนต่อเรื่องสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ มวลมนุษย์ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในเวทีประชุมเสวนาระหว่างประเทศชื่อ“แปงกอร์”(Pangkor Dialogue)ว่าด้วยเรื่อง Making the Future: Innovative Pathways to Sustainable Development การค้นหาหนทางสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน จัดโดยรัฐบาลรัฐเปรัค ของมาเลเซีย เมื่อวันที่ 11-12 กันยายน 2560 (แปงกอร์ เป็นชื่อของเกาะเล็กๆ ของรัฐเปรัค ในทะเลอันดามันตอนใต้)
และงานนี้ ดร.แคทเธอรีนมิได้มุ่งพูดถึงแต่เรื่องวิทยาศาสตร์ หรือกิจการอวกาศ หากแต่ได้ใช้เรื่องราวของภาระหน้าที่ในฐานะนักบินอวกาศ พร้อมภาพถ่ายทั้งนิ่งและเคลื่อนไหว(วีดีโอ) ระหว่างที่ปฏิบัติงานในสถานีอวกาศมาประกอบการบรรยายเกี่ยวกับมุมมองต่อชีวิตและธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
ซึ่งปาฐกถานี้ได้ให้หลักคิดเปรียบเสมือนปรัชญาชีวิตไว้ว่า ประเทศต่างๆ และมวลมนุษย์บนโลกนั้น เมื่อมองลงมาจากอวกาศแล้ว ทุกประเทศและทุกคนต่างเป็นหนึ่งเดียวกันในนามของโลก ไม่ได้มีเส้นแบ่งเขตแดน มาคั่นความสวยงาม และความหลากหลาย ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกชั่วขณะ มนุษยชาติจึงควรใส่ใจกับการเป็นโลกเดียว อยู่ร่วม และพึ่งพา เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของเมฆ หมอก พายุ มีทั้งความน่าทึ่งจนถึงน่าสะพรึงกลัว เมื่อมองสังเกตธรรมชาติจากอวกาศแล้ว มนุษย์ดูเล็กจ้อยเหลือเกิน ช่างไร้พลัง ไร้คุณค่าความหมายต่อปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร มนุษย์ก็ต้องหาทางอาศัยอยู่ภายใต้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ เหล่านี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงเป็นเรื่องของมนุษยชาติที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อบรรเทาเมื่อภัยธรรมชาติเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องร่วมมือกันที่จะไม่ทำลายธรรมชาติเพิ่ม
นอกจากนั้น ดร.แคทเธอรีนเล่าว่า การทำงานทำการใดๆบนสถานีอวกาศนั้น ต้องทำกันเป็นทีม โดยสมาชิกทุกคนต่างมีภาระหน้าที่ ต่างมีความชำนาญเฉพาะทาง แม้จะมาจากต่างชาติ ต่างเผ่าพันธุ์ แต่เมื่อมาอยู่ร่วมกันบนสถานีอวกาศอันกระจ้อยร่อยนี้แล้ว ทุกคนต้องร่วมมือ ช่วยเหลือ สนับสนุนเกื้อกูลกัน เพื่อให้งานเดินและบรรลุเป้าหมายประสบความสำเร็จ ที่นั่นไม่มีใครเก่งคนเดียว โดยทีมงานมาจากที่หลากหลาย โดยเฉพาะภารกิจอวกาศในที่ค่อนข้างคับแคบนั้น เราจะเลือกผู้ร่วมงานมิได้ ซึ่งเป็นไปตามความรู้ความชำนาญ แต่ต้องปรับตัวเข้าหากัน อยู่ร่วมทำงานด้วยกันให้ได้ ให้เปรียบก็คงเสมือนว่าคนเราเลือกที่เกิดมิได้ แต่เมื่อต้องอยู่ร่วมกันก็ต้องร่วมอยู่กับความหลากหลายและความต่างให้ได้ ต้องมีความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ต้องตระหนักว่า ทุกคนต่างมีความถนัดเป็นของตนและเป็นประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น
ดร.แคทเธอรีนยังกล่าวด้วยว่า อาชีพนักบินอวกาศหมายถึงการต้องอยู่ห่างไกลครอบครัว ซึ่งกรณีเธอเองต้องทิ้งลูกชายคนเดียวให้สามีดูแลตั้งแต่เยาว์วัย ซึ่งเป็นเรื่องของครอบครัวที่ต้องช่วยอธิบายให้ลูกชายและสร้างความเข้าใจให้สังคมรู้ว่า การทำตามหน้าที่ใดๆ อาจต้องมีการเสียสละเรื่องส่วนตัวให้กับส่วนรวม แล้วสังคมก็ประคับประคองช่วยเหลือสนับสนุนกันไปตามสภาพและเวลา ซึ่งกรณีของเธอผ่านพ้นไปด้วยดี ด้วยความเข้าใจของสามีและคนรอบข้าง ความเคารพต่ออาชีพของกันและกัน
ก่อนที่ ดร.แคทเธอรีนจะจบปาฐกถา ได้นำภาพถ่ายครอบครัวกับญาติสนิทมิตรสหายของเธอ ในวันที่เกิดสุริยุปราคาที่สหรัฐอเมริกา เมื่อ 21 สิงหาคมนี้มาแสดงให้ดู โดยเป็นการร่วมกันในเหตุการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ตามจุดต่างๆของโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน สร้างความทรงจำเดียวกัน เป็นคุณค่าต่อชีวิต ซึ่งสะท้อนว่าครอบครัวและมิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากมนุษยชาติต่างหันหน้าเข้าหากันแล้ว พลังอันยิ่งใหญ่ก็จะเกิดขึ้นความสงบสุขบนโลกก็เกิดขึ้นได้ แล้วไฉนประเทศต่างๆ หรือความเชื่อต่างๆ จะมุ่งอยู่ที่ความต่างแต่อย่างเดียว
จากที่ผมได้ฟังปาฐกถาของ ดร.แคทเธอรีน โคลแมนแล้ว ก็ภูมิใจที่ได้นำมาบอกกล่าวต่อพี่น้องชาวไทยว่า สตรีท่านนี้เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักบินอวกาศผู้กล้าหาญ มุ่งมั่นและประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในอาชีพการงาน นอกจากนั้นเธอเป็นผู้ที่มีความยิ่งใหญ่ไปอีกขั้นหนึ่ง นั่นก็คือ เธอเป็นนักคิด นักมานุษยวิทยา และเป็นผู้ให้ รวมถึงเป็นผู้แนะทางการเป็นมนุษย์ที่ดีให้กับมนุษยชาติ ที่จะหาทางมีชีวิตอยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่าง และปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่โหมกระหน่ำโลกในทุกวันนี้
ข้าพเจ้าฯ ขอคารวะ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี