พรรคคอมมิวนิสต์จีนเพิ่งจะจัดการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 19 เมื่อวันที่ 18-24 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นการประชุมใหญ่ทุกๆ 5 ปี เพื่อแต่งตั้งผู้นำระดับต่างๆ รวมทั้งกำหนดทิศทางของพรรคและของประเทศ ซึ่งเป็นที่จับตาของวงการต่างๆทั่วโลก เพราะความใหญ่โตของจีนและ
ความเจริญก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวงชนิดเป็นประวัติศาสตร์โลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นสิ่งเกินความคาดคิด สำหรับการใช้เวลาแค่ 30 ปี โดยเฉพาะการอยู่ภายใต้การเมืองการปกครองแบบของพรรคเดียวควบคู่ไปกับการเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจแบบรัฐทำนำพาและกำกับควบคุม เป็นระบบเศรษฐกิจการตลาดทุนนิยม หรือที่จีนเรียกว่า ระบบสังคมนิยมตามแบบฉบับจีน (Socialism with Chinese Characteristics)
สมาชิกเข้าร่วมประชุมประมาณ 2,000 กว่าคน จัดได้ว่าการประชุมเป็นพิธีการเท่านั้น เพราะมีการเตรียมการและตกลงกันล่วงหน้าแล้วโดยคณะกรรมการกลางซึ่งมี 300 กว่าคนคณะกรรมการที่ปรึกษา[โปลิตบูโร 25 คน ซึ่งทอนออกมา7 คน เป็นคณะกรรมการประจำ (Standing Committee)] ที่ประชุมสมัชชานี้จึงทำหน้าที่เสมือนตรายางเท่านั้น และเป็นเวทีให้ ประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ผู้นำประเทศ ผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค (General Secretary) ควบกับประธานคณะกรรมการทหารด้วย ได้แสดงวิสัยทัศน์และกำหนดทิศทางของพรรค และของประเทศ ถือเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่ทำมากันมาอย่างไรก็ทำกันไปตามนั้น (Routine)
แต่ทว่าการประชุมสมัชชาครั้งนี้จัดได้ว่า ไม่ใช่ธรรมดาๆเพราะมีการเปลี่ยนแปลงรูปโฉมและเนื้อหาสำคัญๆ หลายเรื่องที่น่าจับตามอง ซึ่งจะมีผลกระทบมิใช่แค่ความเป็นไปภายในจีนเท่านั้น แต่ส่งผลต่อโลกกว้างอีกด้วย เพราะจีนวันนี้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นที่สองของโลก มีการพัฒนาแสนยานุภาพการทหารทั้งทางบก ทะเล และอากาศ เร่งพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อความเป็นหนึ่ง เป็นเลิศและเพื่อมีบทบาทนำในเวทีโลก
เรื่องแรกคือ สถานะของนายสี จิ้น ผิง ถูกยกระดับขึ้นทัดเทียม เหมา เจ๋อ ตุง ผู้สร้างความเป็นอันเดียวกันของประเทศและเติ้ง เสี่ยว ผิง ผู้สร้างและพัฒนาเศรษฐกิจ โดยนอกจากคุม 3 ตำแหน่งหลักดังกล่าวแล้ว สี จิ้น ผิง ยังถูกยกย่องให้เป็นผู้นำที่เป็นแกนของพรรคและของประเทศ (Core Leader) ที่มิมีผู้ใดในจีนจะพึงวิพากษ์วิจารณ์ได้ และแนวคิดหรือปรัชญาพัฒนานำพาประเทศต่างๆ นั้น จะนำไปบรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมนูญ หรือบทบัญญัติของพรรคที่จะมิมีผู้ใดคัดค้านได้
ดังนั้นการบริหารนำพาประเทศต่อแต่นี้ จะขึ้นอยู่กับสี จิ้น ผิง แต่เพียงผู้เดียว สะท้อนให้เห็นถึงการยกย่องบูชาองค์บุคคล (Personality Cult) และบอกเลิกวิธีการบริหารนำพาแบบร่วมกันคิดและร่วมกันทำ (Collective Leadership)หรือวิธีการที่สะท้อนการถ่วงดุลอำนาจและการต่อรองภายในแกนนำพรรค แต่จะเป็นการหารือภายใต้การกำหนดชี้ทางและนำพาของ สี จิ้น ผิง แต่ผู้เดียวเป็นสำคัญ
ขณะเดียวกันการประชุมสมัชชาครั้งนี้ ก็เป็นการฟื้นฟูและตอกย้ำบทบาทนำของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ทุกคนต้องเชื่อฟัง ปฏิบัติตามมติและคำสั่งพรรคเท่านั้น โดยเฉพาะพรรคจะอยู่เหนือและบังคับบัญชากองทัพ พรรคยังจัดส่งบุคลากรไปประจำภายในทุกองค์การของรัฐบาลและวงการธุรกิจ เป็นการควบคุมความเป็นไปของประเทศอย่างเข้มงวดกวดขัน คู่ขนานกับการมุ่งมั่นปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งแม้เป็นที่ทราบว่า เป็นวิธีการหนึ่งของการขจัดคู่ต่อสู้ คู่แข่งขันทางการเมืองและผู้มีความเห็นต่างด้วย แต่ก็ยังได้รับการสนับสนุนและความพึงพอใจจากประชาชนอย่างเข้มแข็ง
ในการนี้พรรคและผู้นำยังมุ่งมั่นที่จะขจัดความเห็นต่างและพฤติกรรมใดที่บ่งบอกซึ่งการขัดขืน หรือต่อต้านพรรคและรัฐบาล รวมไปถึงการเลือกใช้วิธีปิดหูปิดตาประชาชน ปิดหรือจำกัดจำเขี่ยการใช้เทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่ ที่จะเปิดช่องทางของการดื้อรั้น หรือบ่อนทำลายพรรคและผู้นำ
โดยรวมแล้ว จีนจะคงมีความเป็นเผด็จการหรือฝังลึกกับลัทธิอำนาจนิยมภายใต้ลัทธิบูชาองค์บุคคล พร้อมด้วยเครื่องมือกลไก คือพรรคอย่างกว้างขวาง ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
จีนจะเสริมสร้างความทันสมัยให้กับกองทัพ และจะนำนายทหารรุ่นใหม่เข้ารับตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้น เพื่อขจัดพวกหัวโบราณ หรือพัวพันกับการทุจริตคอร์รัปชั่น
เรื่องการต่างประเทศ จีนมุ่งมั่นมีบทบาทนำเป็นตัวขับเคลื่อนความเป็นไปในโลก และปฏิเสธระบบการเมืองการปกครองประชาธิปไตยแบบตะวันตก ซึ่งจีนเห็นว่าสับสน ยุ่งเหยิง ไร้เสถียรภาพ ไม่ก้าวหน้า สู่ระบบของจีนแบบพรรคเดียวนำพาไม่ได้ และเชื้อเชิญให้เป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย อยากให้ทุกประเทศทำตาม เท่ากับจีนมุ่งมั่นจะเปิดการแข่งขันระหว่างระบบปิดของตน กับระบบเปิดของฝ่ายโลกเสรีตะวันตก โดยว่าระบบของตนนั้น ให้เสถียรภาพและความเจริญก้าวหน้าได้ดีกว่า
ซึ่งบทบาทในเวทีโลก การพัฒนาแสนยานุภาพ การส่งออกรูปแบบการเมืองการปกครอง การไม่โอนอ่อนเรื่องเขตแดนอธิปไตยและข้อพิพาทใดๆ เป็นการเสริมสร้างความเป็นชาตินิยมให้คนจีนภูมิใจอีกด้วย เป็นการขยายฐานเสียงหรือคะแนนนิยม นอกจากเรื่องปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ได้ดูดีไปเสียหมดทีเดียว
เพราะยังมีข่าวคราวเล็ดลอดออกมาว่า มีการแตกแยกและการชิงดีชิงเด่น เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในหมู่ผู้นำจีนเป็นระยะๆ และนิยมใช้การตั้งข้อหาเกี่ยวข้องกับการทุจริตมิชอบเป็นเครื่องมือมาขจัดฝ่ายตรงข้ามออกไปจากแวดวงการเมือง
นอกจากนั้น ในทางคุณภาพชีวิต จีนก็มีปัญหาเรื่องทำลายสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากการเร่งรัดพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ ที่สร้างมลภาวะใหญ่หลวง ควบคู่กับปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในวงการภาครัฐ, รัฐวิสาหกิจและบริษัทที่รัฐเป็นเจ้าของ ซึ่งส่วนมากขาดทุน ล้มละลาย ไร้ประสิทธิภาพ ฉะนั้นโอกาสที่ผู้คนจะตกงานมีมากมายยิ่งขึ้น นอกจากนั้นภาระหนี้สินภาครัฐก็มีมากสูงขึ้น สภาวะเงินเฟ้อก็ดูหมิ่นเหม่ กิจการธนาคารมีโอกาสขาดทุน ล้มละลายเยอะ และมีกิจการธนาคารนอกระบบหรือแบบสีเทากว้างขวาง ที่สำคัญความเหลื่อมล้ำในสังคมระหว่างคนมั่งมี กับคนจน ก็ก่อให้เกิดการประท้วงเป็นระยะๆ และความอึดอัดใจกว้างขวางไม่ด้อยกว่าประเทศตะวันตกและขยายตัวมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งระบบปิด พรรคแทรกแซงทุกวงการ และวิธีเล่นพรรคเล่นพวกโดยตัวผู้นำ ก็จะก่อให้เกิดการขาดความรอบคอบบวกกับการคล้อยตามไปกับความเยิ่นเย้อ เออออห่อหมก คล้อยตามและเอาใจผู้นำ ส่วนสังคมโดยรวมขาดความคิดริเริ่มและความสร้างสรรค์ การคิดค้นทำมาค้าขายก็จะขาดความคล่องตัว เพราะจะมีพรรคเป็นเงาอยู่เหนือหัวโดยตลอด ระบบปิดแม้จะให้เสถียรภาพแต่ก็เป็นปรากฏการณ์ภายนอก เสถียรภาพภายในใจไม่มี มีแต่ความรุ่มร้อนและความหวาดกลัว หวาดระแวง ไม่แน่ว่าระบบเผด็จการพรรคเดียวจะกดประชาชนไปได้อีกนานเท่าใด
สถานการณ์จีนที่เห็นในปัจจุบันนี้ ได้ให้ข้อคิดว่าระบบปิดอาจนำพาประเทศก้าวหน้ารวดเร็วได้ในระยะหนึ่งก็จริง หากแต่ในระยะยาวแล้ว จะสร้างปัญหาสะสมที่รอวันระเบิดอีกมากมาย ในขณะที่ระบบเปิดจะสามารถอำนวยประโยชน์ด้วยความยั่งยืนต่อคุณภาพชีวิตประชาชนในประเทศมากกว่า
ก็หวังว่า ผู้นำไทยจะไม่เคลิ้มกับเสียงกระซิบจากผู้นำจีนว่า กดไว้แล้วมีเสถียรภาพ แต่เสถียรภาพที่ยั่งยืนก็คือ การใช้สติปัญญาร่วมกันมากกว่า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี