เกิดมาเป็นมนุษย์ อยู่ในโลกมนุษย์ ไม่มีอะไรสนุกเท่ากับการ “มองมนุษย์” และ “เรียนรู้ความเป็นมนุษย์” ที่หมู่มนุษย์แสดงออกมา
มนุษย์คนหนึ่งที่ผมสนใจคือ “นายชัยเกษม นิติสิริ” อดีตอัยการสูงสุด ที่เคยลงนามสั่งฟ้อง “นายทักษิณ ชินวัตร” แต่ภายหลังมานั่งทำงานในพรรคการเมือง ซึ่งโดยพฤตินัย ผู้คนก็รู้สึกกันทั้งแผ่นดินว่าเป็น “พรรคทักษิณ”
มันน่าทึ่งว่า คนเป็นอัยการผู้ต้องกลั่นกรองพฤติกรรมถูกผิด และนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม “ทำใจ” ได้อย่างไร ในการมานั่งทำงานในองค์กรที่ถูกมองว่าเป็นของคนที่ตนเคยมีความเห็น “สั่งฟ้อง” เพราะมีพฤติกรรม “หาประโยชน์เข้าตัว” โดยใช้อำนาจรัฐที่ตนเข้าถึงเป็นเครื่องมือ และมันผู้นั้นก็หลบหนีไป ไม่ไยดีที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จนศาลต้องจำหน่ายคดีออกจากสารบบชั่วคราว เนื่องจากไม่อาจนำตัวจำเลยมาขึ้นศาลได้ ในคดีที่เรียกกันทั่วไปว่า “แปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต”
เมื่อมีการเเก้ไขบทบัญญัติ พ.ร.ป.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 (วิ อม.) ให้ดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีลับหลังโดยไม่มีตัวจำเลยได้ และมีผลบังคับใช้แล้ว
คณะทำงานอัยการพิจารณาสำนวนคดี ที่ดำเนินการโดย คตส.และ ป.ป.ช.ที่มี นายพรศักดิ์ ศรีณรงค์ รองอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะทำงาน ได้ตรวจสอบคดีของอดีตนักการเมืองที่อยู่ในสารบบของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว พบว่ามี คดีของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลไว้แล้วรวม 2 สำนวน คือคดีหมายเลขดำ อม.9/2551 ที่กล่าวหานายทักษิณทุจริตออกกฎหมายแปลงสัมปทานโทรคมนาคมและมือถือเป็นภาษีสรรพสามิต และคดี อม. 3/2555 ที่กล่าวหานายทักษิณ ร่วมทุจริตการปล่อยกู้ ของธนาคารกรุงไทยฯ ให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร ซึ่งทั้ง 2 คดีศาลได้สั่งจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราว เนื่องจากนายทักษิณ จำเลยหลบหนี
โดยคณะทำงานอัยการได้มีความเห็นสนอต่อ นายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด(อสส.) และอสส.ได้เห็นพ้องกับคณะทำงาน ให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ เพื่อขอให้ศาลยกเลิกคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราวของนายทักษิณทั้ง 2 สำนวนดังกล่าว พร้อมทั้งขอให้ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งดำเนินกระบวนพิจารณา คดีทั้ง 2 สำนวนต่อไปโดยไม่ต้องกระทำต่อหน้านายทักษิณ จำเลย ตาม วิ อม.มาตรา 28,69,70 โดยเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 นายชาติพงษ์ จีระพันธุ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯแล้ว หลังจากนี้ต้องรอฟังคำสั่งของศาลว่าจะพิจารณาอย่างไร
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 11 ก.ค.2551 เวลา 11.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ นำสำนวนการสอบสวนจำนวน 3 ลัง 20 แฟ้ม รวม 19,933 แผ่น พร้อมความเห็นของ นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ที่สั่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อประโยชน์สำหรับตัวเอง หรือผู้อื่น เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 152, 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4, 100, 122 ต่อศาลฎีกาฯ
ตามฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ถึง วันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นเวลาบริหารราชการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 จำเลยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.และเจ้าพนักงานตามกฎหมายมีอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ม.11 โดยจำเลยในฐานะนายกฯ มีหน้าที่กำกับดูแลทั้งส่วนราชการในสังกัดกระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานอื่นในฝ่ายบริหารที่ไม่ได้สังกัดกระทรวง ทบวง กรม ใด รวมทั้งองค์การของรัฐและรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย และเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งที่เป็นข้าราชการและพนักงานในองค์การรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจำเลยในฐานะนายกฯ มีอำนาจหน้าที่กำหนดและกำกับนโยบายสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดินตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐและนโยบายของคณะรัฐมนตรี ที่แถลงต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540
โดยในส่วนของการจัดการดูแลกิจการโทรคมนาคม จำเลยมีหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ม.11 ซึ่งจำเลยมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดิน ในการสั่งราชการส่วนกลาง ชี้แจงแสดงความเห็น ทำรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ ในกรณีจำเป็นจะยับยั้งการปฏิบัติราชการใดๆ ที่ขัดต่อนโยบายหรือมติ ครม. ซึ่งตาม ม.7 ของ พ.ร.บ.ดังกล่าว กระทรวง เป็นการจัดการบริหารราชการส่วนกลาง และ ม.20 ให้มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ ม.24 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผน ส่งเสริม พัฒนา และดำเนินกิจการเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และราชการอื่นตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ และตาม พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 ม. 10 กระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการคลัง การบริหารทรัพย์สินของแผ่นดิน ภาษีอากร การรัษฎากร กิจการหารายได้ที่รัฐมีอำนาจดำเนินการได้แต่เพียงผู้เดียวตามกฎหมาย จำเลยจึงมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการกระทรวงการคลังผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และบริหารราชการเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารผ่าน รมว.ไอซีที รวมทั้งการสั่งราชการที่เกี่ยวข้องกับภาษีสรรพสามิตผ่านทาง รมว.คลัง และที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารผ่าน รมว.ไอซีที นอกจากนี้จำเลยยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.หมวด 9 ว่าด้วยการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม ตาม ม.100 ซึ่งต่อมายังได้มีประกาศ ป.ป.ช.เรื่องกำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ต้องห้ามไม่ให้ดำเนินกิจการตามบทบัญญัติ ม.100
โดยคดีนี้ระหว่างวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2548 และระหว่างวันที่ 9 มีนาคม 2548 ถึงวันที่ 19 กันยายน 2549 จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายด้วยการเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,419,490,150 หุ้น ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน), บริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด, บริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งทุกบริษัทดังกล่าวต่างเป็นบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐและเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ โดยจำเลยอำพรางการถือหุ้นไว้ด้วยการให้บริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ จำกัด, บริษัท วินมาร์ค จำกัด ซึ่งทั้งสองบริษัทเป็นของจำเลย โดยมี นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่คู่สมรส มีชื่อถือหุ้นแทน
โดยระหว่างวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ถึงวันที่ 19 กันยายน 2549 จำเลยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาลมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปในการบริหารราชการแผ่นดิน รวมทั้งการสั่งราชการที่เกี่ยวข้องกับภาษีสรรพสามิต ผ่านทาง รมว.คลัง และที่เกี่ยวข้องกับทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารผ่าน รมว.ไอซีที ได้ปฏิบัติหรือและเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียในกิจการโทรคมนาคมด้วยการกระทำการ สั่งการตามอำนาจหน้าที่ให้มีการแปลงค่าสัมปทานในกิจการโทรคมนาคมให้เป็นภาษีสรรพสามิตเพื่อประโยชน์แก่ธุรกิจของ บมจ.ชินคอร์ปฯ โดยค่าสัมปทานดังกล่าว บมจ.แอดวานซ์ฯ บมจ.ดิจิตอลโฟนฯ ที่ บมจ.ชินคอร์ปฯ ถือหุ้นใหญ่ มีหน้าที่ต้องชำระให้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) โดยจำเลยมอบนโยบายและสั่งการให้ออก พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2546 พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 พ.ศ.2546 ประกาศกระทรวงการคลังเรื่องลดอัตราและยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 68) ลงวันที่ 28 มกราคม 2546 และมติ ครม.วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 กรณีที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรคมนาคม และให้นำค่าสัมปทานหักกับภาษีสรรพสามิต โดยการกระทำดังกล่าวทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ กระทรวงการคลัง กระทรวงไอซีที บมจ.ทีโอที และบมจ.กสท.รวมทั้งบริษัทอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยทำให้ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท. ที่เป็นคู่สัญญานำค่าภาษีสรรพสามิตมาหักออกจากค่าสัมปทาน ทำให้เสียหายจำนวน 41,951.68 ล้านบาท และจำนวน 25,992.08 ล้านบาท
นอกจากนี้ จำเลยไม่กำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในกิจการดาวเทียม ทั้งที่เป็นกิจการโทรคมนาคม และเป็นกิจการที่ บมจ.ชินคอร์ป ได้รับสัมปทานจากรัฐเช่นเดียวกับโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์เคลื่อนที่ จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมายและเป็นการใช้อำนาจของจำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยไม่สุจริต เหตุตามฟ้องเกิดที่แขวง-เขตดุสิต และ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.
คดีนี้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ.ทีโอที มีหนังสือลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2549 ถึงประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ตรวจสอบการตรา พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราสรรพสามิต ดังกล่าว ซึ่งดำเนินการโดยรัฐบาล ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่ง คตส.แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานที่ตรวจสอบมาพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ให้บุคคลอื่นเป็นผู้ถือหุ้นแทนใน บมจ.ชินคอร์ปฯ ซึ่งเป็นบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ เป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.100, 122 และ เป็นความผิด ตาม ป.อาญา ม.152 และ 157 จึงเสนอ คตส.ซึ่งได้มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยทราบ ซึ่งต่อมาจำเลยได้ชี้แจงข้อกล่าวหาโดยให้การปฏิเสธ
โดยระหว่างไต่สวนจำเลยไม่ถูกควบคุมตัว โจทก์ไม่ได้นำตัวจำเลยมาศาลพร้อมฟ้อง เนื่องจากจำเลยเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจของศาลนี้แล้ว โดยจำเลยเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อม.1/2550 (คดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก) ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงขอให้ศาลมีหมายเรียกจำเลยมาพิจารณาพิพากษาต่อไป ซึ่งคดีนี้โจทก์มีนายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ขณะนั้น) นายสัญญา วรัญญู นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เป็นพยานยืนยันการถือหุ้นและปิดบังอำพรางการถือหุ้นของจำเลยใน บมจ.ชินคอร์ป และมี นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ นายสมหมาย ภาษี เป็นพยานยืนยันการแปลงสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตและบุคคลอื่น ประกอบพยานเอกสารที่จะพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ โดยโจทก์ขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย และขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายดำที่ อม.1/2550 ของศาลฎีกาฯ
ผมคิดว่า ในยามนี้ รายการวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ทั้งหลาย ควรรีบเชิญนายชัยเกษม นิติสิริ มาช่วยอธิบายพฤติกรรมเลวทรามผิดกฎหมายของนายทักษิณในคดีนี้เสียให้ชัด ว่า ผิดตรงไหน อย่างไร ในวันนั้นจึงลงนามสั่งฟ้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของคนในสังคมให้มากที่สุด และหวังว่า นายชัยเกษมจะไม่ปฏิเสธที่จะอธิบายให้ประชาชนได้รู้!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี