ข่าวคราวของโลกเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ โดยเฉพาะในช่วงปีที่ผ่านมา มีทั้งข่าวที่น่าหวาดหวั่น น่าเป็นห่วง รวมถึงที่เป็นที่น่าชื่นอกชื่นใจ
ที่เป็นข่าวดีคือ องค์การสหประชาชาติสามารถออกอนุสัญญาว่าด้วยการห้าม (Ban หรือ Prohibition) มิให้มีอาวุธนิวเคลียร์เลยในโลกนี้ ซึ่งเป็นผลงานร่วมกันของประเทศกำลังพัฒนาที่มีประเทศไทยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่(ขอถือโอกาสนี้ เรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศประโคมข่าวให้เต็มกำลังหน่อย เรื่องดีๆแบบนี้ อย่าเหนียมอายที่จะประกาศให้ชาวบ้านและชาวโลกได้รับรู้)
อีกข่าวดีก็คือ ฝ่ายรางวัลโนเบลที่ประเทศนอร์เวย์ได้มอบรางวัลประเภทสันติภาพให้แก่องค์กร International Campaign for the Prohibition of Nuclear Weapon–ICAN ซึ่งมีเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม (Civil Society Organization - CSO) หรือองค์กรที่มิใช่ภาครัฐ(Non-Governmental Organization - NGO)กว่า 100 องค์กรทั่วโลก ในฐานะเป็นผู้รณรงค์แข็งขันต่อเนื่องในการขับเคลื่อนให้มีการออกอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการห้ามมิให้มีอาวุธนิวเคลียร์ จนเป็นผลสำเร็จ
เมื่อมีอนุสัญญาและได้รับรางวัลไปแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ต้องขับเคลื่อนกันต่อไปให้ได้ผล นั่นก็คือร่วมมือกันทำให้โลกมนุษย์เราปราศจากอาวุธนิวเคลียร์ เพราะมันอันตราย โหดร้ายยิ่ง โลกก็ได้เห็นผลอันร้ายแรงจากการทำลายล้างกรณีฮิโรชิมา และนางาซากิที่ญี่ปุ่นกันแล้ว คนตายทันทีเป็นหมื่นเป็นแสน ส่วนที่รอดก็ทนทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต อาคารบ้านเรือนหายไปในพริบตาเดียว แทบไม่เหลือหลอ ขณะที่กัมมันตภาพรังสียังปะปนในอากาศ ฝังอยู่ในดิน ในน้ำและติดอยู่กับสิ่งของ ผลไม้ทั่วไป
หลังจากนั้นโลกก็ได้เห็นการรั่วไหลของพลังงานปรมาณู หรือนิวเคลียร์จากกรณีโรงผลิตไฟฟ้าเชอร์โนบิล ที่ประเทศยูเครนเมื่อ 30 ปีก่อนโดยประมาณ และเมื่อไม่นานมานี้ก็ที่เมืองฟูกุชิมะ ไดอิชิ ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการใช้เพื่อสันติ แต่ภยันตรายก็มากหลายแม้มิใช่อาวุธก็ตาม
ผลเสียหายของอาวุธนิวเคลียร์ไม่จำกัดอยู่ในพื้นที่หนึ่งใดได้ เพราะมันจัดเป็นอาวุธแบบข้ามเขตแดน หรือไร้พรมแดน และเมื่อใช้กันทั้ง 2 ฝ่าย โดยคู่อริ ก็จะพังพินาศกันทั้งนั้น ไม่มีผู้ใดเป็นผู้แพ้ผู้ชนะจริงจัง แต่ร่วมกันเป็นผู้เสียหายทั้งหมด
อาวุธนิวเคลียร์จึงถูกจัดเป็นอาวุธสงครามเกินความจำเป็น เกินความต้องการ เพราะอาวุธธรรมดาที่มีอยู่ก็สามารถประหัตประหารกันได้อย่างไม่เกินมืออยู่แล้ว
แต่ที่ไม่กี่ประเทศเขามีกัน ก็เพื่อเป็นการยันทัพ(Deterrence) มากกว่า คือมีไว้เพื่อมิต้องใช้ แต่เป็นการป้องปรามมิให้อีกฝ่ายหนึ่งใช้ เพราะถ้าใช้ ก็จะพินาศด้วยกันทั้งนั้น
แต่อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้จากการเผอเรอ จากการเข้าใจกันผิด หรือจากการไปตกอยู่ในมือของคนไร้สติ บ้าบอ บ้าอำนาจก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ด้วยเหตุดังกล่าว อาวุธนิวเคลียร์จึงถือว่าไม่มีประโยชน์ใดๆต่อมวลมนุษย์ ก็น่าจะเป็นการดีที่บรรดาประเทศกำลังพัฒนา บรรดาองค์กรภาคประชาชนและประชาสังคม เริ่มตื่นตัวเข้าไปรับผิดชอบเรื่องการขจัดอาวุธนิวเคลียร์ แต่ยังคงต้องใช้เวลาต่อไปอย่างไม่ลดละ เพราะประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์เจ้าเก่า คือ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย (สืบต่อจากสหภาพโซเวียตรัสเซีย) จีน อังกฤษ และฝรั่งเศส ยังยึดมั่นกับการมีอาวุธนิวเคลียร์เป็นยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติตน ส่วนเจ้าใหม่คือ อินเดีย และปากีสถาน ตั้งแต่แยกออกจากกันมาจากอาณานิคมอังกฤษ ก็บาดหมางกันมาตลอด ปะทะทำสงครามกันแล้ว 3 ครั้ง 3 ครา เลยต่างตัดสินใจว่า ต้องครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อป้องกันตนเอง และป้องปรามอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วล่าสุดก็คือ เกาหลีเหนือที่คิดและเชื่อว่า การอยู่รอดของตนก็คือการมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ครอบครองเท่านั้น ส่วนอีกประเทศที่ทุกคนรู้กันว่ามีอยู่แล้วก็คือ อิสราเอล
โลก ณ วันนี้ จึงมีประเทศนิวเคลียร์แล้ว 9 ประเทศ และมีประเทศที่มุ่งประสงค์จะมีกับเขาด้วยก็คือ อิหร่าน และประเทศที่มีองค์ความรู้และเทคโนโลยีอยู่พร้อมจะครอบครองก็คือ ประเทศญี่ปุ่น
แต่อีกกลุ่มประเทศที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์และไม่ประสงค์จะมีก็คือ กลุ่มประเทศ“ใต้ร่มสหรัฐฯ” (Umbrella State)คือ ประเทศที่พึ่งพาการคุ้มกัน ความมั่นคงปลอดภัยของตนจากประเทศอาวุธนิวเคลียร์ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ก็พึ่ง“ร่มนิวเคลียร์”ของสหรัฐอเมริกา ประเทศในยุโรปที่เป็นสมาชิกองค์การความมั่นคงนาโตทั้งหมด(เว้นสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส) ก็พึ่งร่มอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ และอีกกลุ่มประเทศหนึ่งคือ ประเทศที่สัมพันธ์ดีกับสหรัฐฯ ก็เปิดประเทศให้เรือรบหรือเครื่องบินทิ้งระเบิดสหรัฐฯได้ฝึกบินหรือบินผ่านน่านอากาศหรือแล่นผ่านน่านน้ำ เช่น สิงคโปร์ และออสเตรเลีย เป็นต้น เหล่านี้จัดเป็นประเทศแวะผ่าน(Transit States) (ส่วนสถานะของไทยเป็นอย่างไร คงมีแค่กองทัพเท่านั้นที่รู้ ฝ่ายการเมืองถาม ก็ไม่มีคำตอบ เพราะฝ่ายกองทัพไม่ยอมบอกให้รู้)
แต่ทั้งไทยและสิงคโปร์ร่วมกับสมาชิกอาเซียนอีก 8 ประเทศ ได้ประกาศให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ และเชื้อเชิญให้มิตรประเทศเข้าร่วมสนับสนุน ก็ต้องร่วมกันขจัดอาวุธนิวเคลียร์
นอกจากนั้น ไทยเรายังเป็นสมาชิกอนุสัญญาสภาประชาชนว่าด้วย
- การไม่เผยแพร่อาวุธนิวเคลียร์
- การไม่ทดสอบ ทดลองอาวุธนิวเคลียร์
- การห้ามมิให้มีอาวุธนิวเคลียร์
ประเด็นปัญหาก็คือ ประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ยังไม่ขยับเขยื้อน ก็เป็นเรื่องที่ต้องเพียรพยายามรณรงค์กันต่อไป
อาเซียนสามารถกระชับความร่วมมือกับกลุ่มประเทศปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียกลาง, แปซิฟิกตอนใต้,แอฟริกา,ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน นอกจากนั้นก็สร้างเครือข่ายรณรงค์ในระดับประชาชนต่อประชาชน เพื่อให้ประชาชนไปบอกกล่าว บีบคั้นรัฐบาลของตนในการไม่ข้องแวะกับอาวุธนิวเคลียร์
ในแต่ละประเทศกำลังพัฒนาก็เป็นเรื่องของการให้ความรู้ภยันตรายของอาวุธนิวเคลียร์เป็นสำคัญ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี