ต้องยอมรับว่า ปี 2560 ที่กำลังจะจบลงนี้ เป็นปีแห่ง “ความยากลำบาก” ของแทบจะทุกวงการ กระนั้นก็ตาม เราล้วนผ่านพ้นมาได้ และกำลังจะขึ้นสู่ปีใหม่หลัง 24.00 น. คืนวันนี้ มาดูกันครับ เรา “ผ่านสิ่งยาก” ใดๆ ร่วมกันมาบ้าง และอาจยังต้องเผชิญสิ่งยากใดๆ กันต่อไป โดยเฉพาะผู้นำประเทศ อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
1) รัชกาลที่ 9 เสด็จสู่สวรรคาลัย
สิ่งที่ยากลำบากที่สุดสำหรับปวงชนชาวไทยในปี 2560 ก็คือ เราจะผ่านพ้น “พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9” ไปได้อย่างไร นี่คือความรู้สึกสูญเสียที่หนักหน่วงที่สุด และเป็น “ทุกข์ร่วมกัน” ของคนทั้งชาติ ด้วยพระองค์ท่านทรงเป็นศูนย์รวมใจของคนไทยทั้งมวล ทรงเป็น “พ่อของแผ่นดิน” อาณาประชาราษฎรร่มเย็นใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารมานานแสนนาน กระนั้นก็ตาม การที่เรามีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระบรมวงศานุวงศ์ ยืนหยัดพระองค์เป็น “มิ่งขวัญ” และร่วมอยู่ในความอาดูรของปวงอาณาประชาราษฎร์ กำลังใจที่ยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้น สำนึกที่จะ “ก้าวต่อไป” ก็บังเกิด เราจึงได้เห็นความพร้อมเพรียงของประชาชนทุกหมู่เหล่า ในอันที่จะร่วมกัน จัดงานพระราชพิธีครั้งนี้ถวายให้ “สมพระเกียรติ” ที่สุด ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมา ก็เป็นที่อัศจรรย์ใจไปทั้งโลก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ยังมีพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ ให้พสกนิกร เปลี่ยนพลังแห่งความเศร้าเป็นพลังแห่งการสร้าง ด้วยโครงการ “จิตอาสา” ซึ่งจะเห็นว่า ราษฎรทุกหมู่เหล่าสมัครเข้าร่วมโครงการ และอุทิศตนในกิจกรรมที่ก่อประโยชน์แก่ส่วนรวมอย่างมหาศาล ภาพที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินทรงร่วมในขบวนพระบรมราชอิสริยยศ พระเสโทท่วมพระพักตร์ แต่แววพระเนตรยังคงมุ่งมั่น ในการอัญเชิญพระบรมโกศเข้าสู่มณฑลพิธีท้องสนามหลวงนั้น คือภาพที่ติดอยู่ในหัวใจของพสกนิกรทั้งชาติ ยังไม่รวมถึงความห่วงใยที่ทรงมองเห็นว่า ราษฎรที่มารออยู่ข้างถนนเพื่อจะได้ร่วมในพระราชพิธี ซึ่งมีทั้งฝนตกหนัก แดดออก จะทุกข์ยากเพียงใด โปรดเกล้าฯ ให้จัดหาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาดูแลพสกนิกรเหล่านั้นอย่างเร็วที่สุด นี่คือน้ำพระราชหฤทัยหาที่สุดมิได้อย่างแท้จริง
2) นายกฯ แห่งความยุ่งยาก
ต้องยอมรับว่า ปี 2560 ที่กำลังจะผ่านไป เป็นปีที่ “ยากที่สุด” ในชีวิตของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะหลังผ่านพ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิงฯ เพราะบรรยากาศบ้านเมืองที่ทุกฝ่ายต่างคำนึงถึงกาลเทศะ เริ่มคลายตัว ไอ้ที่เคยงดเว้นไม่วิพากษ์วิจารณ์ ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ ไอ้ที่เคยอดทน ก็สุดจะทน โดยเฉพาะประชาชนในภาคการเกษตร กลุ่มแรกที่ทะลักออกมา คือ เกษตรกรชาวสวนยาง จนรัฐบาลต้องประสานสิบทิศ แก้ปัญหากันจ้าละหวั่น นำมาซึ่งการ “ยอม” ปลด “ไข่ในหิน” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปเป็นรองนายกรัฐมนตรี แล้วเลือก นายกฤษฎา บุญราช มาเป็นรัฐมนตรีแทน พร้อมด้วยรัฐมนตรีช่วยอีกสองท่าน คือ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร กับนายลักษณ์ วจนานวัช ลุยแก้ปัญหาภาคการเกษตร พร้อมๆ
กับโอนงานกระทรวงนี้ไปอยู่ในการกำกับดูแลของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แม่ทัพใหญ่สายเศรษฐกิจของรัฐบาล ก็รอดูกันว่า จะกอบกู้สถานการณ์วิกฤติรายได้ของรากหญ้า ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอาชีพเกษตรกรรมกันล้วนๆ ได้เร็วเพียงใด ส่วนความยุ่งยากทางการเมืองอื่นๆ ก็เป็นเรื่องของการออกกฎหมายและเดินตามโรดแมป ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า ยึดมั่นต่อโรดแมปจริงจังไหม วินาทีที่ชะตา พล.อ.ประยุทธ์ ตกหนักที่สุด คือ การ “ขึ้นเสียง” ใส่ประชาชนครั้งลงไปประชุม ครม. สัญจร ที่ภาคใต้ จนนำมาสู่คำสัญญาปลายปี (ซึ่งก็เหมือนกับทุกปี) ว่าจะใจเย็น จะไม่โมโห กระนั้นก็ตาม ความเชื่อถือในตัว พล.อ.ประยุทธ์ โดยรวมๆ ก็ยังไม่วิกฤติจนถึงขั้นที่คนจะไม่ทนเห็นท่านอยู่ในอำนาจต่อ เพราะสถานการณ์อันหนักหน่วงในประเทศ ทุกคนทราบดีว่า อยู่บนบ่าของท่านเพียงลำพัง ถึงจะมีทีมงาน แต่ส่วนหนึ่ง ก็เพียงทำงานในเชิงธุรการไปวันๆ บางคนก็ “หาเรื่อง” มาให้ต้องหลบหลีกที่จะตอบคำถามอีกต่างหาก เช่น แหวนเพชร นาฬิกา เป็นต้น ภาพสงครามกลางเมืองที่ก่อตัวขึ้นระหว่างการชุมนุมของ กปปส. ที่มีม็อบอีกกลุ่มหนึ่งขึ้นมาขู่ฟ่อๆ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาหยุดสถานการณ์เอาไว้ ภาพ “ลุงคนหนึ่ง” ที่ทำงานหนัก เดี๋ยวเป็นหวัด เดี๋ยวไม่มีเสียง เดี๋ยวจมูกฟุดฟิดๆ ภาพชายชาติทหารที่ “สุดจะกลั้นน้ำตา” ในขณะร่วมขบวนพระบรมราชอิสริยยศ อัญเชิญพระบรมโกศในหลวงรัชกาลที่ 9 สู่พระเมรุมาศ ล้วนเป็นภาพที่คอย “ถ่วงน้ำหนัก” ในความรู้สึกของคนว่า มันอาจจะยากลำบากบ้าง การบริหารหลายเรื่องอาจจะล้มเหลวบ้าง แต่ท่านก็ไม่ได้สุขสบายไปกว่าคนอื่น คือปัจจัยประคองให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังดำรงอยู่ในสถานการณ์อึมครึม
3) เศรษฐกิจย่ำแย่ คนไม่มีกำลังซื้อ
เศรษฐกิจตกต่ำ - เป็นโจทย์ที่ท้าทาย พล.อ.ประยุทธ์ คณะรัฐบาล และ คสช. มากที่สุด แม้จะพยายามนั่งดูกระจกหลอก คือ ตัวเลขจีดีพี และตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เริ่มดีขึ้น แต่ชีวิตจริงๆของประชาชน ไม่ได้ดีอย่างตัวเลขที่คนเอาไปให้ท่านดูนี่นา จดหมายน้อยของนายชวน หลีกภัย ที่ชักชวนท่านดูตัวเลข “รายได้ครัวเรือน” จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ คือ “ของจริง” ที่รอการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพของรัฐบาลอยู่ครับ เดือนมกราคม 2561 คงไม่เป็นไร ความสุขปีใหม่ยังอวลๆ อยู่ กุมภาพันธ์ “ของไหว้ตรุษจีน” จะถูกใช้เป็นดัชนีวัดเศรษฐกิจ แล้วคำว่า “เศรษฐกิจไม่ดี” จะขึ้นมาหลอกหลอนท่านอีกครั้ง มีนาคมซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของไตรมาสแรก หากอะไรไม่ดีขึ้นบ้างเลย นั่นจะเป็นจุดเริ่มต้น “นับถอยหลัง” เพราะเดือนเมษายน คนกลับบ้านในช่วงสงกรานต์ มีเงินมีทองกลับบ้านกันไหม กลับไปถึงบ้านนอก ชีวิตความเป็นอยู่น่าเวทนาปานใด มันล้วนกระทบใจพวกเขาทั้งสิ้น แล้วพฤษภาคม 2561 ก็เป็นเวลาเปิดภาคเรียน โรงรับจำนำต้องเตรียมเงินสดรองรับเท่าไหร่ ครึ่งปีแรกของปี 2561 จึงเป็นช่วง “เห็นดำเห็นแดง” ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แล้วครับ อย่าลืมสัจธรรมประการหนึ่งว่า ไม่เคยมีรัฐบาลไหนอยู่ได้ในสภาพ “ล้มเหลวทางเศรษฐกิจ” มาก่อนเลย
4) ธรรมาภิบาลของรัฐบาล คสช.
เป็นเรื่องท้าทายท้ายปีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ครับ ต้องพูดกันตรงๆ ว่า เราอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเสาหลักของการสร้างมาตรฐาน “ธรรมาภิบาล” เพราะท่านมาเป็นรัฐบาลพร้อมๆ กับวาทกรรม “นักการเมืองเลว” ทั้งจากความรู้สึกของประชาชน และจากการทำซ้ำในวาทกรรมของท่านเอง เราจึงอยากเห็นว่า 1.ท่านจะไม่เอานิสัยนักการเมืองมาใช้ และ 2.ท่านจะไม่เลวไปกว่าคนที่ท่านตำหนิ การณ์กลับปรากฏเรื่องท้าทายท่าน 3 เรื่องใหญ่ๆ ท้ายปี 2560
• แหวนและนาฬิกา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่สังคมมีคำถามนั้น จะมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความรับผิดชอบส่วนตัวที่ พล.อ.ประวิตร จะต้องรับผิดชอบคนเดียวก็ได้ หรือจะมองให้ “สูง” กว่านั้นก็คือ เรามี ผู้นำรัฐบาล ที่ไม่เพิกเฉยกับ “พฤติกรรมของคนในคณะรัฐบาล” มีทั้งการตรวจสอบด้วย “องค์กรอิสระ” ตามกฎหมาย ซึ่งในข้อนี้พล.อ.ประวิตร ท่านก็ให้ความร่วมมือดี และมีการตรวจสอบด้วยสายบังคับบัญชา คือ นายกฯ ตรวจสอบรองนายกฯและรัฐมนตรี เพื่อให้สังคมสิ้นสงสัยว่า ทรัพย์สินเหล่านั้น ได้มาอย่างไร (แม้ท่านอาจรำคาญว่า มันมายุ่งอะไรกันนักหนาวะ) เพราะคำว่า “ธรรมาภิบาล” ไม่ได้มีแค่การตรวจสอบกันด้วย “กฎหมาย” เท่านั้น แต่มันมีองค์ประกอบด้านสังคมและจริยธรรมรวมอยู่ด้วย เมื่อผู้คนเห็นท่านนิ่งในเรื่องนี้ ก็ย่อมมีคนกลุ่มหนึ่งที่ “ผิดหวัง” ต่อมาตรฐาน “ธรรมาภิบาล” อยู่บ้าง
• กฎหมายลูกว่าด้วย ป.ป.ช. ที่มติ สนช. เลือกจะอุ้มคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้อยู่ต่อ ทำงานได้อีกยาว แม้บางคนคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ และบางคนหนักถึงขั้น “มีคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ” คนก็จับตาดูว่า นายกรัฐมนตรีจะมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้อย่างไร ถึงไม่ใช่เรื่องของท่านโดยตรง แต่มันก็เป็นเรื่องที่วนเวียนอยู่ใน “กรรม” ของแม่น้ำสายต่างๆ ของ คสช. ทั้งนั้นท่านจะทนเห็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ ทนเห็น “ลูกหาบ” ชื่อ สนช. วางมาตรฐานอย่างนี้ ให้คนตีตราว่า สนช. ที่ คสช. เลือกมา มันเป็นได้แค่ “ตรายางทางการเมือง” เท่านั้นหรือครับ? เพราะเรื่องนี้ มันถูกมองเลยเถิดไปถึงว่า เป็นการ “อุ้มป.ป.ช.” เอาไว้ “ใช้งานต่อ” โดยเฉพาะงานตรวจสอบทรัพย์สินของรัฐบาล คสช. นี่แหละ มิใช่ใครอื่น
• คำสั่ง คสช. ที่ 53/2560 ที่ยังตีความสับสนกันอยู่ว่า เป็นการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างพรรคเก่ากับพรรคใหม่ (ซึ่งรอการอธิบายที่ชัดเจน) แต่ที่มันตลกแล้วก็คือ เหตุของการต้องออกคำสั่งฉบับนี้ คสช.เหมือนคนสับสนในตัวเอง วันหนึ่งบอกบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดี เรามาเขียนรัฐธรรมนูญกันเถอะ เขียนเสร็จ ทำประชามติ ผ่าน โปรดเกล้าฯ ประกาศใช้ ส่งผลให้ต้องร่างกฎหมายลูกหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนั่นเอง ฉบับหนึ่งที่ร่างเสร็จ และมีสภาพบังคับแล้วคือ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ทว่า ข้อบังคับในกฎหมายบางข้อ พรรคการเมืองกลับไม่สามารถทำได้ เพราะติดคำสั่ง คสช. เดิม คือ ห้ามพรรคการเมืองประชุมหรือเคลื่อนไหว พรรคทั้งหลายก็เรียกร้องทวงถามเรื่องการปลดล็อกให้พวกเขาทำตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ เรียกร้องอยู่นาน ถูกเหน็บถูกด่าสารพัด ว่ากระสันจะเลือกตั้งกันแล้วรึ? เอ้า! ก็ทนถูกด่ากันไป สุดท้าย คสช. มาออกคำสั่งนี้ เสมือนเป็นการ “แก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ” ที่เพิ่งประกาศใช้ไม่กี่วันเอง มันคืออะไร งงตัวเอง ตกลงกฎหมายดีหรือไม่ดี ตกลงบ้านเมืองพร้อมที่จะไปต่อหรือยังไม่พร้อม กะอีแค่ “ผ่อนปรน” ให้เขาดำเนินการตามพันธกิจของกฎหมายได้ก็จบแล้วมั้ย ทำไมต้องทำให้ซับซ้อน ยุ่งยาก วุ่นวาย ถกเถียงกันได้มากมายอย่างนี้ล่ะ ซ่อนอุบายอะไรเอาไว้ไหม ทำไมไม่เดินตามลำดับไปให้ตรงไปตรงมา คำว่า “ธรรมาภิบาล” แห่งการใช้อำนาจของ คสช. ก็ผุดขึ้น พร้อมคำถามว่า มีมั้ย?
5) โรดแมปที่ไม่มีจริง?
พล.อ.ประยุทธ์ ถูกถามถี่มากในครึ่งปีหลัง ว่าเดินตามโรดแมปอยู่หรือไม่ โรดแมปมีไหม สำหรับผมเชื่อว่ามี และเดินอยู่และไม่ง่ายที่จะ “บิดพลิ้ว” เพราะ 1.ไปพูดไว้ที่ต่างประเทศหลายครั้ง 2.สหภาพยุโรปส่งตัวแทนมาคุยว่าพร้อมจะเดินหน้าฟื้นระดับความสัมพันธ์แล้ว เพราะเห็นว่า มีความพยายามทำตามโรดแมปเพื่อเดินกลับเข้าสู่ประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง 3.โรดแมป เดินตามลำดับขั้นของกฎหมายลูก โดยสี่ฉบับที่ต้องเสร็จคือ กฎหมายพรรคการเมือง กฎหมาย กกต. กฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่ง สส. กับ สว. จากนั้นก็วางกำหนดการเข้าสู่การเลือกตั้ง โดยกฎหมายลูกอื่นๆ ก็เขียนต่อไปพลาง ตามรัฐธรรมนูญกำหนด ที่ผมบอกว่าโรดแมปยังเดินอยู่ ยังไม่บิดพลิ้วก็เพราะว่า ระยะเวลาของการเขียนกฎหมายลูก 4 ฉบับที่รัฐธรรมนูญบอกไว้ยังไม่หมด และเขาก็ทำกันอยู่ เอาไว้ 4 ฉบับนี้เสร็จเมื่อไหร่ แล้วยังไม่เห็นการขยับตัว นั่นแหละ สัญญาณแห่งการไม่เป็นไปตามโรดแมปถึงจะชัด
โรดแมปสำคัญต่อการรอคอยของคนบางกลุ่ม แต่อาจไม่สำคัญกับประชาชนบางกลุ่มที่ยังยินดี พอใจ ในบ้านเมืองแบบนี้ ยังไม่อยากเดินไปสู่การเลือกตั้ง เพราะกลัวบรรยากาศเก่าๆ จะกลับมาหลอกหลอนอีก อันที่จริง กติกามากมายได้รับการปรับปรุงแก้ไขแล้วนะครับ เช่น การชุมนุม ต่อไปนี้ไม่ใช่จะทำกันได้ง่ายๆ พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะเข้มงวดและทำได้ยากมากๆ เป็นต้น จึงไม่มีเหตุผลใดต้องเอาอดีตมารีไซเคิลเป็นอนาคตแล้วใช้หลอกหลอนตัวเอง อนาคตเป็นความรับผิดชอบของเราทุกคน ที่จะไม่ทำซ้ำอะไรที่มันเลวร้าย-ผิดพลาด อย่างในอดีตอีกไม่ใช่หรือครับ
แต่เสียงเรียกร้องให้ “โรดแมป” ต้องเดินหน้า จะดังขึ้นอย่างกระหึ่มจากทุกสารทิศโดยไม่ต้องนัดหมาย ถ้าหากว่าปี 2561 เศรษฐกิจไม่ได้กระดกหัวขึ้นเลยจากปี 2560 ไม่ว่าอนาคตจะน่ากลัวเพียงใด ทุกคนจะพร้อมเสี่ยง เพราะปัจจุบันเขาเห็นชัดแล้วว่า ไม่ดีขนาดไหน ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ครับ พรุ่งนี้เช้าก็ปีหน้าฟ้าใหม่ อะไรที่ควรต้องทำ ต้องเด็ดขาด เข้มแข็ง ก็ทำเสียนะครับ
อย่าลืมโอวาทท้ายปีที่เพิ่งได้รับจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นะครับ
“ตู่ ได้ให้สัญญาว่าจะนำความสุขมาให้คนไทย ดังนั้นจึงต้องดำรงความมุ่งหมายนี่ไว้ให้ได้ ว่าเราจะทำทุกอย่างเพื่อให้คนไทยมีความสุข”
“ตู่ ใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว แทบจะไม่มีกองหนุนเหลืออยู่แล้ว แต่ถ้าเราสามารถแสดงให้เห็นถึง ความปรารถนาดีที่มีต่อชนชาวไทย กองหนุนจะมาเอง”
“ขอให้ดำรงความมุ่งหมาย และเพิ่มกองหนุนให้มากขึ้นให้ได้ เชื่อว่า ตู่ทำได้ พวกเราก็ทำได้ และกำลังทำอยู่ และ ขอให้ตู่นำพาชาติบ้านเมืองของเรา ทำให้คนไทยมีความสุขให้จงได้ นะตู่นะ” พลเอกเปรม กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี