วันที่ 12 มกราคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า
“ในปีนี้ นอกจากเรื่องการเลือกตั้งแล้ว ยังมีเรื่องยุทธศาสตร์ชาติและปฏิรูปประเทศที่อยากให้ทุกคน ทุกฝ่าย ทุกภาคส่วนให้ความสนใจ เพราะนี่จะเป็นจุดเปลี่ยนประเทศไทยที่เราทุกคนรอคอยมาหลายทศวรรษ สำคัญต่ออนาคตของบ้านเมือง โดยเฉพาะลูกหลานในวันข้างหน้า เราต้องมีการเตรียมตัว คือ เตรียมคนไทย เตรียมประเทศไทย เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสู่โลกาภิวัตน์ ยุคเทคโนโลยีดิจิทัล และบริบททางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมของโลก นับเป็นความท้าทายของเราทุกคนและทุกรัฐบาลนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สิ่งสำคัญ หากเราไม่สามารถแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาตนเอง โดยคิดใหม่ มีวิสัยทัศน์ก้าวหน้าก้าวไกลอย่างมีทิศทาง เป้าหมายชัดเจน เพื่ออนาคตแล้ว อาจเกิดปัญหาที่แก้ไขไม่ทันการณ์ได้
ดังนั้น ในนามของนายกรัฐมนตรี คสช. ก็อยากเชิญชวนเด็ก เยาวชน นิสิต นักศึกษา คนรุ่นใหม่ ได้ออกมาช่วยกันกำหนดอนาคตของประเทศชาติ ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พร้อมกับ การปฏิรูปประเทศในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำหรับบ้านเมืองของเราในวันนี้ และในวันข้างหน้าคนไทยทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกันในการที่จะขับเคลื่อนประเทศของเราต่อไป”
คำถามที่ผุดขึ้นในหัวของผมทันทีก็คือ
“พลเอกประยุทธ์ได้เปิดช่องทางใดไว้ให้เด็ก เยาวชน นิสิต นักศึกษา คนรุ่นใหม่ ได้ออกมาช่วยกันกำหนดอนาคตของประเทศ ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี”!!
ที่ต้องถามเช่นนี้ เพราะเมื่อมองย้อนกลับไป มีเรื่องใดบ้าง ภายใต้รัฐบาล “ลุงตู่” ที่ประชาชนได้เข้าไป “มีส่วนร่วม” กำหนดอนาคตของชาติบ้านเมือง
ผมเองได้พูดมาตลอด ว่าสิ่งที่ขาดไปในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ คือ การสร้างการมีส่วนร่วม
1) พล.อ.ประยุทธ์ ท่านชัดเจนว่า รับทราบในปัญหาของประเทศไทย เพราะเมื่อท่านเข้าควบคุมอำนาจ การให้สัมภาษณ์ของท่านก็ดี การพยายามจัดการกับปัญหาในช่วงแรกๆ ก็ดี บ่งบอก
ชัดเจนว่า ท่านศึกษาสถานการณ์บ้านเมืองและรู้ปัญหาที่เป็นชนวนนำคนมาสู่ความขัดแย้งและการเผชิญหน้าที่ชัดเจนมาก ไม่ใช่มาแบบมึนๆ มาเพื่อจะเอาอำนาจไปเป็นของตัว แต่มาด้วย “สถานการณ์กำหนด” ว่าต้องมา “หยุดสงครามกลางเมือง” ให้ได้เสียก่อน
2) เราจึงเห็นกันทั่วว่า ก่อนจะยึดอำนาจ ฝ่ายกองทัพที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ.ในขณะนั้น ได้ “ให้นักการเมือง-ฝ่ายการเมือง” คิดแก้ปัญหากันเองก่อน ท่านไม่ก้าวล่วง โดยใช้วิธีประกาศ “กฎอัยการศึก” เพื่อเปิดทางให้กองทัพเข้าควบคุมสถานการณ์ด้านความมั่นคงได้โดยชอบ เพราะขณะนั้น บ้านเมือง “ระส่ำระสาย” เต็มที ด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้
21. นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งแม้กระทั่งตำแหน่งรักษาการ ซึ่งเป็นผลจากคำพิพากษาของศาล คดีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เพื่อให้เครือญาติ ได้นั่งเก้าอี้ ผบ.ตร. จนต้องขยับโยกตำแหน่งต่างๆ ให้ลงตัว โดยย้ายนายถวิล เวลานั้นยิ่งลักษณ์ประกาศยุบสภาไปแล้ว การเลือกตั้งล้มเหลวไปหนึ่งรอบ รอประกาศการเลือกตั้งใหม่
2.2 ผลพวงจากคำพิพากษาของศาลในคดีดังกล่าว ทำให้รัฐมนตรีรักษาการอีกหลายคนพ้นจากตำแหน่งไปด้วย (ซึ่งตั้งใหม่ไม่ได้ในตอนนั้น) บ้านเมืองจึงอยู่ในสภาพไร้หัว มีแต่ตัวขาดๆ วิ่นๆ ทำอะไรไม่ได้เลย เช่น กำหนดวันเลือกตั้ง อนุมัติงบประมาณ ฯลฯ เป็น “ทางตันทางการเมือง” โดยแท้
2.3 มีการตรวจพบอาวุธสงครามเป็นจำนวนมาก และมีข้อมูลว่าเตรียมนำมาใช้กับประชาชนผู้ชุมนุมในนาม กปปส. ซึ่งในตอนนั้น เริ่มถูกยิงระเบิดใส่ กราดยิงใส่ จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเกิดขึ้น และถี่ขึ้น
2.4 วุฒิสภาหารือกันถึงทางออก เช่น จำต้องใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราฝ่าทางตัน เพราะเวลานั้น สภาผู้แทนราษฎรถูกนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ยุบไปแล้ว จึงเหลือแค่วุฒิสภาเท่านั้น ที่มีอำนาจโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ ที่จะกำหนดทางออกให้ประเทศ ซึ่ง สว. จะ “ผ่าทางตัน” นำชื่อใครสักคนขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นนายกฯ ชั่วคราวก่อนก็ได้ แต่ที่ประชุมลับ สว. เห็นพ้องต้องกันว่า เป็นเรื่องอ่อนไหว เพราะหากทำเช่นนั้น จะกลายเป็นว่า นำความขัดแย้งทางการเมืองไปสู่ “องค์พระประมุข” หรือเสมือนดึงองค์พระประมุขมาสู่วงขัดแย้งทางการเมืองด้วยนั่นเอง จึงต้องการสร้างความถูกต้องด้วยการขอให้รัฐมนตรีรักษาการ ซึ่งนำโดย นายชัยเกษม นิติสิริ ลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีรักษาการเสีย
2.5 ภายใต้กฎอัยการศึกที่ไม่ก้าวก่ายการตัดสินใจทางการเมือง เพียงมุ่งหมายแค่ “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับประชาชนที่กำลังชุมนุมและมิได้ชุมนุมกันอยู่ เวลานั้นบิ๊กตู่คงคาดหวังว่า การเชิญตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ และแกนนำมวลชนกลุ่มต่างๆ มารวมกันในห้องประชุม ปิด ให้หารือกันเรื่องทางออกของประเทศให้ได้ กลับได้รับคำตอบว่า “วินาทีนี้ผมไม่ลาออก” จึงมีประโยคที่ตามมาว่า “ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องขออภัยทุกท่าน วินาทีนี้ผมต้องยึดอำนาจ”
3) หลังยึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ ก็มิได้ผลีผลามจะตั้งรัฐบาลแต่อย่างใด แต่เร่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าซึ่ง “ร้ายแรงมาก” ด้วยการเชิญแกนนำที่มีผลต่อการยุยง ปลุกปั่น หรือนำมวลชนไปควบคุมไว้ก่อน เพื่อหยุดสถานการณ์โกลาหล ยึดอาวุธสงคราม ประกาศหยุดการเคลื่อนไหวทั้งมวล เพื่อให้ฝุ่นควันทางการเมืองและความขัดแย้ง แตกแยก สงบลง
4) นานทีเดียว กว่าหัวหน้า คสช. คือ พล.อ.ประยุทธ์ จะตั้งรัฐบาล ทันทีที่มีการตั้งรัฐบาลและท่านเป็นนายกฯ เอง งานบนบ่าของท่านก็งอกเพิ่ม คือ นอกเหนือจากการควบคุมสถานการณ์ให้สงบเรียบร้อยแล้ว ยังมีงาน “บริหารประเทศ” และงานที่ประชาชนฝากไว้ คือ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” อยู่ในความรับผิดชอบ มาถึงจุดนี้เอง ที่เป็น “งานยาก” สำหรับ “ลุงตู่” เพราะทั้งชีวิตเป็น “ทหาร” เป็น “ผู้บังคับและบัญชา” มากกว่าเป็น “ผู้บริหาร”
5) จะเห็นว่า เมื่อจำเนียรกาลผ่านมา 3 ปีล่วง ภาพการเป็น “นักบริหารมีฝีมือ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังมิได้ปรากฏ แต่ภาพการเป็นผู้บัญชาการ ทำให้สถานการณ์สงบ ราบคาบ ชัดเจน แจ่มแจ้ง และเป็นปัจจัยที่ทำให้ประชาชนซึ่งต้องการความสงบเรียบร้อย “เทใจ” ให้ลุงตู่หมดสิ้น มิติด้านการ “ใช้อำนาจ-บังคับบัญชา” จึงเป็นงานระดับ “เกรดเอ” แต่งานด้านการบริหาร เช่น เศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิต ราคาพืชผลทางการเกษตร รายได้ครัวเรือน ความตื่นเต้นของนักลงทุน การเตรียมพร้อมรับมือสังคมสูงอายุ ฯลฯ จึงค่อนข้าง “ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน” สะเปะสะปะ และมากไปด้วย “มาตรการระยะสั้น” เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
6) ผมจึงเคยแสดงความเป็นห่วงว่า ยิ่งลุงตู่อยู่ยาว ต้นทุนของลุงตู่จะยิ่ง “หมดหน้าตัก” เพราะงานด้านการจัดการสถานการณ์ความวุ่นวาย คลี่คลายไปแล้วด้วยดี คนจะหันมาโฟกัสที่ “ฝีมือในการบริหาร” แทน ซึ่งมันล้มเหลว จนกองเชียร์ร่อยหรอ ดังที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ท่านเตือนอย่างผู้ใหญ่ใจดีว่า “ตู่ใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว แทบจะไม่มีกองหนุนเหลืออยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเราสามารถแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีที่มีต่อประชาชนชาวไทยกองหนุนก็จะมาเอง เพราะฉะนั้นขอให้ดำรงความมุ่งหมายเพื่อเติมกองหนุนมากขึ้นให้ได้ ตนเชื่อว่าตู่ทำได้พวกเราทุกคนก็ทำได้ และกำลังทำกันอยู่ อย่างไรก็ตามข้อสำคัญที่สุดก็คือขอให้ประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดีกับชาวไทยว่าคนไทยที่ดีคืออย่างไร ก็ขอแสดงความชมเชยและภูมิใจในการกระทำของคณะรัฐบาลลุงตู่และขอย้ำอีกทีว่าที่ตู่พูดว่าจะนำความสุขมาให้คนไทยจะต้องดำรงความมุ่งหมายนี้ให้ได้ แม้จะเหนื่อยยากก็ตาม” พล.อ.เปรม กล่าว
7) ตลอดมา ลุงตู่ “ปฏิเสธการมีส่วนร่วมของประชาชน” เพิ่งจะมาคิดถึงพลังของประชาชนว่าสร้างก็ได้ โค่นก็ได้ ตอนที่ตั้งคำถามเพื่อให้ประชาชนไปตอบ 6 ข้อบ้าง 4 ข้อบ้าง โดยที่คำถามนั้นแฝงความเกลียดชัง “นักการเมือง” เอาไว้เต็มๆ จึงเป็นลักษณะ “แบ่งแยกเพื่อปกครอง” ซึ่งเป็นการ “บริหารสถานการณ์” ที่ผิด เพราะเดิมคนเกลียดชังกันเป็นฝ่ายเอาทักษิณ กับไม่เอาทักษิณ นี่จะมาเล่นเกม เอานักการเมือง เอาทหาร กันอีกอย่างนั้นหรือ
8) และเพิ่งจะมายอมรับว่า “ผมเป็นนักการเมือง” ก็เมื่อก่อนปีใหม่ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งก็ถูกตีความไปต่างๆ นานา ส่วนมากจะตีความไปว่า เตรียมเป็น “นักการเมืองอย่างเต็มตัวในอนาต”
9) ดีใจนะ ที่ลุงตู่เริ่มเชิญชวนเด็ก เยาวชน นิสิต นักศึกษา คนรุ่นใหม่ ให้เข้ามามีส่วนร่วมกำหนดอนาคต แต่ก็อย่างที่ขีดเส้นใต้บรรทัดเอาไว้นั่นแหละว่า แล้วท่าน “เปิดช่องทางใด” ให้เขาเข้าไปมีส่วนร่วมบ้างล่ะ? ผมพูดตั้งแต่ตั้ง สนช. สปช. แล้วก็เปลี่ยนมาเป็น สปท. แล้วว่า คิดจะเอาคนรุ่นใหม่เข้าไปเป็นส่วนประกอบบ้างไหม แทนที่จะปล่อยให้เขาถือป้าย ชูสามนิ้ว เล่นกระตั้วแทงเสือให้ลูกน้องท่านจับไปดำเนินคดีน่ะ อย่าว่าแต่เด็กรุ่นใหม่เลย ประชาชนทั่วไป เคยได้มีส่วนร่วมอะไรในการเขียนรัฐธรรมนูญ ทำแผนการปฏิรูปประเทศ และที่จะมีต่อไปก็คือ “ยุทธศาสตร์ชาติ” ซึ่งจะใช้ไป 20 ปี แม้จะเปลี่ยนได้บ้างในทุกๆ 5 ปีก็ตาม อีก 20 ปี คนที่ถูกวางตัวให้เขียนยุทธศาสตร์ชาตินี้ แทบจะขึ้นทะเบียนเป็น โบราณวัตถุ” ได้ละ แต่คนที่ต้องบริหารและใช้ชีวิตตามยุทธศาตร์ชาตินั้น คือคนอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ร่วมคิด ร่วมฝัน ร่วมวางแผนเลย
10) หากลุงตู่ไม่ได้แค่ “พูดเท่ๆ รับวันเด็ก” แต่คิดจะให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมจริงๆ ไม่เกินสองสัปดาห์นี้ ก็ควรประกาศ “ช่องทางการมีส่วนร่วม” อย่างจริงๆ จังๆ ได้แล้ว ไอ้ประเภท “ไปส่งที่ศูนย์ดำรงธรรม” ไม่เอาแล้วนะ รบกวนเวลาการทำงานของเจ้าหน้าที่มหาดไทยมาก ให้เขารับเรื่องร้องเรียนแล้วส่งให้ถึงรัฐบาลก็ดีใจแล้ว
11) เริ่มจากโชว์ “พิมพ์เขียวการปฏิรูปประเทศ” ที่ สปท. ทำพิธีส่งมอบให้รัฐบาล ให้ประชาชน “เข้าถึงได้” บ้าง สรุปสิ่งที่ปฏิรูปไปแล้วให้คนเห็นภาพ และสิ่งที่จะทำต่อไปให้คนได้ร่วมเสนอความคิดเห็น อย่าลืมว่า การเรียกร้องให้ปฏิรูปนั้น เป็นเสียงเรียกร้องและความต้องการของประชาชนด้วย จึงอย่าปฏิบัติเหมือนประชาชนเป็น “พลทหาร” ที่รอให้ “นายคิด-นายสั่ง-แล้วทำตาม”
ทั้งเรื่องการปฏิรูปประเทศ เรื่องยุทธศาสตร์ศาสตร์ เรื่องยุคเทคโนโลยี-ดิจิทัล และอย่าลืมเรื่อง “สังคมสูงอายุ” ที่คนรุ่นใหม่ต้องไปแบกรับอย่างหลังอานเลย ในวันข้างหน้า กรุณานำมาเป็น “ธุระร่วม” ของประชาชนทั้งรุ่นใหม่รุ่นเก่าได้แล้ว
ให้เขารู้สึกมีส่วนร่วม เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แล้วในวันข้างหน้า ใครบิดพลิ้ว ไม่ทำตาม เขาจะเป็นผู้ทวงถามอย่างแข็งขัน
แต่ถ้าอยู่แบบตัวใครตัวมัน ผู้บัญชาการสุมหัวกันคิดอยู่ไม่กี่คน ในวง “ลิ้นยาว” เดิมๆ ปล่อยประชาชนเป็นสุนัข เค-9 รอคำสั่ง นั่ง ชิด หมอบ คอย ไปเห่า ไปขู่ ไปกัด คนนั้นคนนี้ให้หน่อย แล้วปฏิบัติตาม พร้อมคำชมว่า good ว่า ดี เห็นทีจะไม่พอและไม่ได้แล้วล่ะครับ ลุงตู่ครับ!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี