หลังจากปิดปากเงียบ ไม่ให้สัมภาษณ์นักข่าวเรื่องนี้มานาน...
เมื่อวันที่ 16 ม.ค.2561 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนาฬิกาหรู ที่มีการตามขุดภาพขึ้นมาได้กว่า 24 เรือน
ประมาณการมูลค่ารวมกว่า 30 ล้านบาท
พลเอกประวิตรระบุว่า “...ขอให้ทาง ป.ป.ช.ตรวจสอบ ถ้าชี้ผมผิด ผมก็ออก การทำงานของป.ป.ช.ไม่สามารถไปแทรกแซงได้ เพราะป.ป.ช.มีการดำเนินการตามขั้นตอนของเขา ให้เขาตรวจสอบให้เสร็จสิ้น ผมชี้แจงป.ป.ช.ไปแล้ว..”
นักข่าวถามว่า ปกติเป็นคนชอบสะสมนาฬิกาใช่หรือไม่?
พล.อ.ประวิตร ตอบว่า “ผมไม่มีหรอก ผมมีเพื่อน เพื่อนเอามาให้ผมใส่ แค่นั้นเอง และก็คืนเขาทั้งหมดทุกเรือน”
นักข่าวถามย้ำว่า ที่มีและชอบจริงๆมีกี่เรือน?
พล.อ.ประวิตร ตอบว่า “ไม่ขอพูดแล้ว”
จากท่าทีและแนวทางชี้แจงข้างต้น ประเด็นที่ต้องพิจารณา มีดังต่อไปนี้
1. กรณีหาก ป.ป.ช.รอให้ชี้มูลว่ามีความผิด แล้วผู้ถูกชี้มูลลาออก นั่นมิใช่การแสดงออกถึงความใจกว้าง หรือแสดงสปิริตแต่อย่างใด แต่เป็นไปตามข้อบังคับกฎหมาย
หากต้องการแสดงความเป็นพี่ใหญ่ใจกว้าง - ใจนักเลง - เสียสละ ควรต้องแสดงออกโดยไม่ต้องรอ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด
2. หากชี้แจงว่า ทรัพย์สินที่ไม่ได้แสดงต่อ ป.ป.ช.นั้น มิใช่ของตนเอง จึงไม่ต้องยื่นแสดง และไม่ต้องชี้แจงว่าเอาเงินที่ไหนไปซื้อมา
แต่คงไม่พ้นจะต้องชี้แจงอยู่ดีว่า หลักฐานประกอบคำอธิบายว่า “ยืมเพื่อนมา” และ “คืนไปหมดแล้ว” นั้น มีอะไร? อย่างไรบ้าง?
อาทิ เพื่อนคือใคร? เพื่อนซื้อมาเมื่อไหร่? แล้วเอามาให้ยืมเมื่อใด? ยืมนานเท่าใด? เอาคืนไปเมื่อใด? เพื่อมีผลประโยชน์ส่วนตัวทับซ้อนกับผลประโยชน์ของรัฐหรือไม่? อย่างไร?
ยังต้องพิสูจน์อยู่ดีว่า เป็น “ของยืม” และไม่มีผลประโยชน์แลกเปลี่ยนแอบแฝง
หากยืมจริง ก็จะต้องให้ยืมมาในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วก็เอาคืนไป
แต่ถ้าหากซื้อมาปุ๊บ ก็ให้ยืมมาใส่ปั๊บ แล้วไม่เอาคืนไปเลย จนกระทั่งเกิดเรื่อง ถ้าแบบนี้ ก็คงจะเชื่อยากว่าเป็นการยืมจริงๆ เพราะถ้ายอมรับกันได้ ในอนาคต นักการเมืองก็คงจะถือเป็นบรรทัดฐานบ้าง อาจจะมีการ “ยืม” อย่างอื่นอีกมากมายในวงการการเมือง เช่น ยืมเงินมาใส่ในบัญชี ยืมหุ้นมาใส่ชื่อ ยืมบ้านมาให้อยู่ ยืมคอนโดบ้านตากอากาศไว้ให้เสริมบารมี ฯลฯ
3. กรณีข้ออ้างของผู้ถูกร้องในลักษณะว่า ไม่ใช่ทรัพย์สินของตน แต่คนอื่นให้ยืมมา จึงไม่แจ้งในบัญชีทรัพย์สิน เคยมีการกล่าวอ้างเหมือนกัน แต่มีกรณีปรากฏว่า ป.ป.ช. และศาลไม่เชื่อ
ยกตัวอย่าง กรณีอดีตปลัดกระทรวงคมนาคม สุพจน์ ทรัพย์ล้อม
เคยมี คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินเท็จ กรณีซุกเงินสด 17.5 ล้านบาท (คราวโจรปล้นบ้าน) และ รถยนต์ตู้โฟล์ค ราคา 3 ล้านบาท (คดีหมายเลขแดงที่ อม. 210/2560-วันที่ 26 ก.ย. 2560)
ป.ป.ช.เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง พบรถยนต์จอดอยู่ในบ้านนายสุพจน์ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย.2554
ในการไต่สวน นายสุพจน์อ้างว่า ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าว แต่เป็นของนายเอนก จงเสถียร เจ้าของบริษัทเอ็มเอ็มพี คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยนายเอนกซื้อและนำไปให้ภรรยานายสุพจน์ใช้ในงานเกี่ยวกับเด็กและศาสนา และอ้างอีกว่า นำรถไปมอบให้พระเทพปฏิภาณกวีใช้งาน
แต่ในการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า รถยนต์คันดังกล่าว แม้ชื่อนายเอนกเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ แต่นายสุพจน์และภรรยาเป็นผู้ใช้งาน โดยศาลฎีกาฯพบพิรุธในคำเบิกความหลายประการ อาทิ หมายเลขทะเบียน ฮต 8822 เมียนายสุพจน์เป็นคนสั่งให้นายสุพจน์ขอทะเบียนนี้มา
ศาลฎีกาฯ วินิจฉัยว่า “...แม้พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 17/1 จะให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของรถยนต์ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาหมายเหตุในการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติดังกล่าว ก็ได้ความว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มรูปแบบทางธุรกิจจากการเช่าซื้อรถยนต์ โดยสามารถนำรถยนต์ไปจำนองได้เพื่อมิให้ประชาชนต้องเสียค่าธรรมเนียมการโอนรถยนต์ หลายทอดโดยไม่จำเป็น ทั้งผู้รับจำนองยังมีบุริมสิทธิในรถยนต์ด้วย และตามมาตรา 4 บัญญัติว่า เจ้าของรถ หมายความรวมถึงผู้มีรถไว้ในครอบครองด้วย ประกอบกับเมื่อรถยนต์เป็นสังหาริมทรัพย์โดยมีข้อเท็จจริง ที่รู้กันทั่วไปว่าผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในคู่มือจดทะเบียนรถยนต์อาจไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริงก็เป็นได้ จึงเห็นว่าบทบัญญัติมาตรา 17/1 เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้น หาใช่เป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาดว่าผู้มีชื่อเป็นเจ้าของรถยนต์จะเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์เสมอไป ดังนั้น การพิจารณาว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ในรถยนต์หรือไม่ ย่อมต้องอาศัยพฤติการณ์ในการซื้อ การครอบครอง รวมถึงการใช้รถยนต์ด้วย ในส่วนของพฤติการณ์ในการครอบครองและใช้รถยนต์ ยี่ห้อโฟล์คสวาเกน หมายเลขทะเบียน ฮต 8822 กรุงเทพมหานคร ยังคงได้ความตรงกันในสาระสำคัญว่าอยู่ในความครอบครองของผู้คัดค้าน กระทั่งเกิดเหตุปล้นทรัพย์และอนุกรรมการไต่สวนผู้ร้องไปตรวจบ้านเกิดเหตุก็พบรถยนต์คันดังกล่าวในบ้านของผู้คัดค้าน
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า รถยนต์ ยี่ห้อโฟล์คสวาเกน หมายเลขทะเบียน ฮต 8822 กรุงเทพมหานคร เป็นทรัพย์สิน ของผู้คัดค้านที่อยู่ในชื่อบุคคลอื่น โดยมอบให้พระเทพปฏิภาณกวีครอบครองดูแลเพียงชั่วคราว จึงเป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่มีอยู่จริงในเวลาที่มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ตามมาตรา 39 ประกอบมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542
เมื่อรถยนต์โฟล์คสวาเกนเป็นของผู้คัดค้าน แต่ผู้คัดค้านไม่แสดงทรัพย์สินในบัญชีทรัพย์สินต่อผู้ร้อง พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าไม่ประสงค์จะให้ผู้ร้องได้ตรวจสอบที่มาของทรัพย์สินของผู้คัดค้าน การกระทำของผู้คัดค้านจึงเป็นการจงใจยื่นบัญชีฯเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ...”
4. ยิ่งกว่านั้น กรณีปลัดสุพจน์ ยังถูกดำเนินคดีร่ำรวยผิดปกติ
ปรากฏว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ให้ยึดทรัพย์ของปลัดสุพจน์ ในรายการรถตู้คันดังกล่าวด้วย โดยถือว่าเป็นทรัพย์ร่ำรวยผิดปกติ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี