เมื่อวันที่ 1 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวใช้ชื่อว่า Oak Panthongtae Shinawatra พร้อมข้อความระบุว่า..
“...วันก่อนมีคนส่งรูปเช็ค 2 ฉบับและใบนำฝากของธนาคาร มาให้ผมดูครับ
ผมลองเอาไปให้ใครดู ต่างก็ร้อง “เฮ้ย..จริงดิ” ทุกคนไป ผมจึงอยากให้สังคมช่วยกันตรวจสอบ และช่วยกันกระตุ้นให้หน่วยงานของรัฐ ทั้ง ปปง. และ ดีเอสไอ ตลอดจนผู้มีอำนาจในรัฐบาล ช่วยออกมายืนยันว่า รูปถ่ายเช็คดังกล่าว เป็นของจริงหรือไม่? หากว่าจริง เหตุใดทั้ง ปปง. และ ดีเอสไอ จึงไม่มีการดำเนินคดีกับผู้ที่มีชื่อรับผลประโยชน์ เพราะคนที่ส่งรูปมาให้นั้นยืนยันว่า ทั้ง 2 หน่วยงาน ต่างก็มีหลักฐานเดียวกันนี้เก็บไว้ทั้งคู่ แต่ไม่เคยมีใครยอมปริปาก..!!
เช็ค 2 ฉบับนี้ ได้สั่งจ่ายเงินเข้าบัญชีคนดังระดับประเทศ และเป็นเงินก้อนเดียวกันกับที่ดีเอสไอกำลังเอาเรื่องพานทองแท้ ข้อหาฟอกเงินในคดีเงินกู้แบงก์กรุงไทย อยู่ ณ เวลานี้ ลองดูรายละเอียดในรูป โดยผมจะขอสรุปให้สั้นๆ ดังนี้นะครับ
>> เช็คฉบับที่ 1 <<
เป็นเช็คสั่งจ่ายโดยระบุชื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จำนวนเงิน 250,000 บาท มีลายเซ็น พล.อ.เปรม เซ็นชื่อกำชับแบบชัดๆ ว่า ให้นำเงินก้อนนี้ไปฝากเข้าบัญชีมูลนิธิของตัวเอง...โอ้ววว..!!
>> เช็คฉบับที่ 2 <<
เป็นเช็คสั่งจ่ายเงินสด ซึ่งเช็คใบนี้ถูกนำไปเข้าบัญชี พล.ร.ท.พระจุณณ์ ตามประทีป นายทหารคนสนิท ของพล.อ.เปรมโดยมีเลขที่เช็คมันส์สุดติ่ง คือหมายเลข 2724851 ซึ่งติดกับเลขที่เช็คที่สั่งจ่ายให้ผม คือหมายเลข 2724852 ลงวันที่สั่งจ่ายวันเดียวกันเป๊ะ...เยสสส!!!
ที่สำคัญเช็คทั้ง 2 ฉบับนี้หนักกว่าเรื่องที่ดีเอสไอตั้งขึ้นมาเพื่อเอาผิดผมเยอะ เนื่องจากเช็คที่ถูกตีมาเพื่อเข้าบัญชีผมนั้น ได้ถูกยกเลิกในวันเดียวกัน และสามารถแสดงหลักฐานได้ว่าเงินทั้งหมด ได้ถูกนำไปคืนทุกบาททุกสตางค์ และคืนไปตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว มีหลักฐานทางธุรกรรมฯชัดเจน
ส่วนเงินที่โอนเข้า 2 บัญชีนี้ อย่าว่าแต่จะนำมาคืนเลย เงินที่บอกว่าได้มาจากการกระทำความผิดนี้ ถูกนำไปใช้สอยอย่างสบายใจ ไร้การตรวจสอบ โดยผ่านมา 10 กว่าปี ยังไม่ปรากฏร่องรอยการคืนเงินให้เห็นแม้แต่บาทเดียว
เงินก้อนเดียวกัน ส่วนหนึ่งโอนเข้าบัญชีผม ซึ่งได้โอนคืนกลับหมดแล้ว ถูกกล่าวหาว่ามีความผิด แต่เงินอีกส่วนหนึ่งโอนเข้าบัญชีคนอื่น ถูกนำไปจับจ่ายใช้สอยอย่างสบายใจ กลับปราศจากความผิดใดๆ แบบนี้คงไม่มีใครยอมแน่ครับ
ทนายของผมได้ส่งข้อมูลหลักฐานของเช็คทั้ง 2 ฉบับนี้ และข้อมูลอื่นๆ เป็นจดหมายลงทะเบียน ไปถึงคณะกรรมการของดีเอสไอที่มีหน้าที่พิจารณาคดีนี้เป็นรายบุคคลแล้วนะครับ จึงถือว่าทุกท่านได้รับทราบข้อผิดสังเกต และได้ทราบประเด็นที่ไม่ชอบมาพากลไปแล้ว
หลังจากนี้ถ้ามีการกระทำอะไรที่เป็นสองมาตรฐาน และไม่ให้ความเป็นธรรมกับผมอีก ผมคงต้องขอสงวนสิทธิ์ในการปกป้องตัวเองจนถึงที่สุด ในทุกตัวบทกฎหมาย ตลอดอายุความที่สามารถจะกระทำได้
จะหาเรื่องเอาคนอื่นเข้าคุก โดยที่เขาไม่ได้กระทำความผิด เล่นกันแรงแบบนี้ คงไม่มีใครปล่อยให้ Free Kick กันง่ายๆ ครับ...”
นั่นคือข้อความของนายพานทองแท้ ซึ่งสะท้อนอะไรหลายอย่าง
จะเข้าใจเรื่องนี้ ต้องลำดับความไปทีละเปลาะ
1) ชัดเจนว่า นายพานทองแท้กำลังทำให้สังคมเคลือบแคลง ว่า ทำไมมีแต่ตนเท่านั้นที่ถูกดำเนินคดี ทำไมคนอื่นที่ก็ได้รับเช็ค แถมเลขที่เช็คติดกันด้วย ไม่ถูกดำเนินคดี หรือเอาผิดเหมือนตนเลย
2) หากโง่ให้เท่ากัน ก็คงเข้าใจได้ตามนั้น แต่หากใช้สติปัญญากันสักนิด ก็จะคิดต่อได้ว่า กระบวนการเอาผิดและ “ตั้งข้อหา” ไม่ได้ดูแค่ มีเช็คโอนมาและรับไว้ ขณะที่พานทองแท้ “คืนไปทั้งหมด” เพราะเช็คถูกยกเลิก มันตื้นไป และโง่ไปหน่อยที่จะมองแค่นั้น
3) เพื่อจะเข้าใจ “เส้นทางการเงิน” จากกฤษดามหานครเข้าบัญชีพานทองแท้ ให้ย้อนไปดูจากคำพิพากษาคดีทุจริตปล่อยกู้กรุงไทยกัน ซึ่งเป็นต้นทางของเรื่อง สรุปโดยย่อก็คือ มีการกล่าวหาว่า เกิดใช้อำนาจของ “บิ๊กบอส” (ซึ่งยังเป็นบุคคลปริศนาอยู่) สั่งให้กรรมการบริหารของกรุงไทย ปล่อยกู้ให้เครือกฤษดามหานคร ซึ่งไม่มีคุณสมบัติพอที่จะปล่อยกู้ให้ได้ขนาดนั้น ครั้นตามดู “เส้นทางของเงิน” ก็พบว่า มีการแจกจ่ายเข้าบัญชีของคนใกล้ชิด “บิ๊กบอส” ในลักษณะต้องสงสัยว่า เป็น “ค่าตอบแทน”
4) ในคำวินิจฉัยส่วนตัวของนายศิริชัย วัฒนโยธิน รองประธานศาลฎีกา และเจ้าของสำนวนคดีดังกล่าว ท่านเชื่อว่า “บิ๊กบอส” หรือ “ซูเปอร์บอส” ในสำนวนการสอบพยานของ คตส. หมายถึง “นายทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (ผู้พิพากษาท่านอื่นๆ ไม่แตะประเด็นนี้)
5) เนื่องจากมีการอ้างว่า “บิ๊กบอส” หรือ “ซูเปอร์บอส” เป็นคนสั่งการให้ผู้บริหารระดับสูงธนาคารกรุงไทยปล่อยสินเชื่อให้กฤษดามหานคร และมีการโอนเงินตอบแทนดังกล่าวนั้น นายศิริชัย ได้อ้างอิงผลการไต่สวนของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และจากปากคำให้การของพยาน ได้แก่ นายวิชัย อินทรมีทรัพย์ และนายอุตตม สาวนายน ในฐานะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยขณะนั้น พบว่า มีเครือเอกชน-นักการเมือง ที่เข้าข่ายรับเช็คจากนายวิชัยอย่างน้อย 4 ราย ได้แก่
นายพานทองแท้ ชินวัตร ที่รับเช็คจากนายวิชัย กฤษดาธานนท์ และนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ (บุตรนายวิชัย) กรณีชำระค่าหุ้นบริษัท ช.การช่าง จำกัด ที่ระบุว่า จะจ่ายผ่านนายวันชัย แต่ไม่ทัน จึงให้จ่ายโดยตรงผ่านนางเกศินี และนางเกศินี โอนเงินเข้าบัญชีนายพานทองแท้ จำนวน 1.8 ล้านบาท และกรณีร่วมลงทุนกับนายรัชฎาจำนวน 10 ล้านบาท
นายมานพ ทิวารี กรณีได้รับเช็คจากบริษัท แกรนด์ แซทเทิลไลท์ฯ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือกฤษดามหานคร และเงินที่มีการโอนเข้าบัญชีก่อนหน้านี้ ซึ่งนายมานพ ระบุว่า ยืมมาจากนายวิชัย รวมเป็นเงินประมาณ 172 ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อหุ้นบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด
บริษัท ฮาวคัม จำกัด และ 4.บริษัท มาสเตอร์โฟน จำกัด ที่นายรัชฎานำเงินที่ได้จากสินเชื่อที่บริษัท โกลเด้นฯ ได้รับจากธนาคารกรุงไทย ไปซื้อหุ้นจองของบริษัท ท่าอากาศยานไทยฯ 4.2 แสนหุ้น และนำมาเสนอขายแก่พนักงานของบริษัท ฮาวคัมฯ และบริษัท มาสเตอร์โฟนฯ ของนายพานทองแท้
นายศิริชัย เชื่อว่า ธุรกรรมของนายพานทองแท้และนายมานพ เป็นการรับผลประโยชน์ตอบแทนจากการที่บริษัท โกลเด้นฯ ได้รับอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารกรุงไทย
อย่างไรก็ดีประเด็นนี้ นายพานทองแท้ เคยชี้แจงต่อ คตส. แล้วว่า ฝากนายวันชัยซื้อหุ้นบริษัท ช.การช่างฯ ผ่านบัญชีของนางเกศินี วงเงิน 26 ล้านบาท ซึ่งจะครบกำหนดชำระในวันที่ 31 ธ.ค. 2546 แต่นายพานทองแท้เกรงว่าการโอนเงินค่าหุ้นดังกล่าวจะไม่ทัน จึงให้
โอนเงินให้นายวันชัย ผ่านบัญชีของนางเกศินี ก่อนที่นางเกศินี จะโอนเงิน 1.8 ล้านบาท ให้นายพานทองแท้
กระนั้นก็ตาม นายศิริชัย เห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เนื่องจากการฝากนายวันชัยซื้อหุ้นตามที่อ้าง นายรัชฎาอ้างนั้น ย่อมสามารถโอนเงินค่าหุ้นเข้าบัญชีของนายวันชัยได้โดยตรงอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลต้องนำแคชเชียร์เช็คฝากเข้าบัญชีนายพานทองแท้ เพื่อฝากชำระนายวันชัยอีกทอดหนึ่ง
6) ด้วยประเด็นและพฤติกรรมที่กล่าวมานี้เอง ทำให้สถานภาพในการ “รับเงิน” ของนายพานทองแท้กับ พล.อ.เปรม และ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ต่างกัน ในสายตาของฝ่ายตรวจสอบ
7) กรณีของ พล.อ.เปรม นั้น พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ ได้ออกมาชี้แจงว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว เท่าที่ตนทราบ คือ เจตนาของผู้บริจาค ต้องการบริจาคเงินเข้ามูลนิธิรัฐบุรุษพล.อ.เปรม แต่ในเช็คได้ใส่ชื่อของพล.อ.เปรม ท่านจึงให้ส่งเช็คดังกล่าวต่อไปยังมูลนิธิรัฐบุรุษ ตามความประสงค์ของผู้บริจาค มิได้นำมาใช้ส่วนตัว ซึ่งทางกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอคงตรวจสอบแล้ว เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว และยืนยันเงินดังกล่าวได้ส่งต่อเข้าการกุศลจริงๆ
8) ส่วนกรณีเช็คในชื่อ พล.ร.อ.พะจุณณ์ (ยศในปัจจุบัน) เป็นการโอนค่าใช้จ่ายงานออกร้านมาให้ ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ต่างตอบแทนใดๆ ซึ่งก็ถูกตรวจสอบไปแล้วเช่นกัน
9) จึงเป็นที่มาว่า ทำไมพานทองแท้ถูกตั้งข้อหา “ฟอกเงิน” แต่อีกสองท่านไม่โดน เพราะพฤติการณ์ในการรับเงินมา มีกรรมวิธีที่ต่างกันมาก
แน่นอน โอ๊ค-พานทองแท้ ย่อมพยายามต่อสู้ว่าตนบริสุทธิ์ ไม่ได้ฟอกเงิน ไม่ได้รับของโจร ไม่ได้ช่วยโจรทำให้เงินนั้นสะอาด ไม่ใช่ค่าตอบแทนจากการที่ “บิ๊กบอส” สั่งให้กรุงไทยปล่อยกู้ให้ มีสิทธิ์สู้ก็สู้ครับ สู้ไป แต่วิธีในการสู้ ต้องไม่โง่ และไม่เอามันมาโชว์ส่งๆ เดชๆ ด้วย
นี่จึงเป็นการ “สู้ทางสังคม” ไม่ได้ “สู้ในกระบวนการยุติธรรม” และเป็นการสู้ด้วยวิธีเดิมๆ คือ พยายามทำให้สังคมหลงทางว่า ฉันไม่ใช่คนเดียวที่ได้เช็คมา แต่ไม่อธิบายเลยว่า กระบวนการได้มา วิธีที่ได้มา ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเสียจนถูกตั้งข้อสงสัยและข้อกล่าวหาว่า
“ร่วมกันฟอกเงิน” ซึ่งหากสังคมตื้นเขิน และมองกันแบบ “มีขั้ว-มีข้าง” ก็จะหลงกลวิธีการแบบนี้ จนเข้าใจผิดไป
โลกนี้มีมายา และคนบางคนก็มากไปด้วย “มารยา” รับข้อมูลข่าวสารจึงพึงต้องพิจารณาด้วยปัญญาให้ถี่ถ้วนครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี