เกิดความปั่นป่วนในวงการสาธารณสุข โดยเฉพาะบรรดาโรงพยาบาลในต่างจังหวัด
ออกมาแสดงจุดยืนคัดค้านระเบียบฉบับใหม่ของกระทรวงการคลัง ที่สั่งห้ามโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงโรงเรียนแพทย์ และหน่วยบริการรัฐทั้งหมด ทำการจ้างและขึ้นเงินเดือนให้กับลูกจ้างจากเงินนอกงบประมาณ หรือหากต้องการจ้างก็ต้องขออนุญาตจากกรมบัญชีกลางก่อน
ระบุว่า เป็นการออกระเบียบที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง
ฝ่ายที่คัดค้าน เห็นว่า โรงพยาบาลชุมชนในต่างจังหวัดเกือบทุกแห่ง อยู่ในภาวะงานล้นมือ ขาดแคลนบุคลากร และค่าตอบแทนน้อย แถมไม่มีการบรรจุตำแหน่งข้าราชการเพิ่มมานาน การออกระเบียบเช่นนี้ เหมือนมัดมือ
มัดเท้า เพิ่มแรงกดดัน เพิ่มภาระให้กับโรงพยาบาลมากขึ้น และเป็นการทำลายขวัญกำลังใจลูกจ้าง
1. ยกตัวอย่าง ภาพที่เห็นเป็นโรงพยาบาลรามัน จังหวัดยะลา โดย นพ.รอซารี ปัตยบุตย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามัน และพยาบาล ระบุว่า ทราบเรื่องแล้วรู้สึกตกใจมาก ว่าใครชงเรื่องนี้ให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังลงนาม มีพรรคพวกเพื่อนฝูง พี่น้อง โรงพยาบาลชุมชน โทรเข้ามาหารือปรับทุกข์กันมากมายสามจังหวัดชายแดนใต้ลำบากเรื่องกำลังคนอยู่มากพอแล้ว ยืนยันพร้อมเดินทางไปกระทรวงการคลัง
2. เฟซบุ๊ค “ชมรมแพทย์ชนบท” ได้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างเผ็ดร้อน
ระบุว่า รัฐบาลชุดนี้บอกว่าจะปฏิรูป แต่กลับมาทำสิ่งที่ถอยหลัง คือ นอกจากจะกำลังพยายามแก้กฎหมายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้ถอยหลังเข้าคลอง โดยให้ประชาชนร่วมจ่ายไม่พอ ล่าสุดกระทรวงการคลังยิ่งบ้าจี้ ออกหนังสือสั่งการให้โรงพยาบาลรัฐบาลถอยลงคลองกลับไปปี 2544 หรือเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว ให้การจ้างลูกจ้าง รวมไปถึงวิชาชีพต่างๆ แต่ละคนเพิ่ม ไม่ว่าจะจากเงินนอกงบประมาณ เงินบำรุง ต้องไปขอจากกรมบัญชีกลาง และห้ามเพิ่มเงินเดือน ไม่ได้สักคน คงจะเหมือนสมัยก่อนจะจ้างใครสักคนต้องขอล่วงหน้าก่อน 1 ปีงบประมาณ
“...งานมากขึ้น จ้างคนไม่ได้ คนลาออกจะจ้างก็ต้องขอตกลงกรมบัญชีกลางก่อน ค่าตอบแทนก็นิดเดียวไม่ให้เพิ่มอีก นี่กะจะให้กำลังคนที่รัฐผลิตมาไปให้เอกชนใช่ไหม กะจะทำลายโรงพยาบาลรัฐกันอย่างนี้เลยใช่ไหม กะจะให้บุคลากรที่รัฐผลิตได้ไปปรนเปรอให้โรงพยาบาลเอกชนฟรีๆ ใช่ไหม ได้เลยครับมาลองดูกัน ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ขอเชิญชวนพี่น้องโรงพยาบาลชุมชน รพ.สต. โรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลรัฐบาลทั้งประเทศ เริ่มจากขึ้นป้ายไว้อาลัย แต่งชุดดำกัน หากรัฐบาลยังไม่เห็นยังไม่ได้ยิน คงต้องนัดกันเตรียมรองเท้าผ้าใบกับใจถึงๆ ไปสมทบกับคนที่อยากเลือกตั้งแล้วแหละครับ” เพจชมรมแพทย์ชนบทระบุ
3. น่าสนใจว่า ในเฟซบุ๊คของ “ชมรมแพทย์ชนบท” ยังนำเสนอข้อมูลวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นอื่นๆ ในลักษณะโจมตีรัฐบาล คสช. พ่วงไปในโอกาสนี้ด้วย
ลักษณะท่วงทำนอง แทบจะเรียกได้ว่า “ปลุกม็อบ” กันเลยทีเดียว
เพราะมีการโจมตีไปถึงเรื่องราคาน้ำมัน เรื่องการใช้เงินแผ่นดินอีกสารพัด
เมื่อวานนี้ ได้มีออกแถลงการณ์เป็นจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องถึงขั้นให้รัฐมนตรีคลังลาออก!
เนื้อความว่า
“ที่ 44/2561 ชมรมแพทย์ชนบท
โรงพยาบาลชุมแพ จังหวัดขอนแก่น
23 พฤษภาคม 2561
เรื่อง ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้เกี่ยวข้องแสดงความรับผิดชอบในการออกระเบียบด้วยวิธีคิดที่ผิดพลาดอย่างรุนแรงด้วยการลาออก
เรียน ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ
สืบเนื่องจากการที่กระทรวงการคลังได้ออกระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ พ.ศ.2561 โดยอ้างมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2560 และระเบียบดังกล่าวได้ลงนามในวันที่ 18 พฤษภาคม 2561 ซึ่งมีสาระสำคัญคือ หากส่วนราชการมีความจำเป็นต้องจ้างลูกจ้างนอกเงินงบประมาณ ต้องทำความตกลงกับกระทรวงการคลังก่อน รวมทั้งไม่ให้มีการเลื่อนค่าจ้าง
และทันทีที่ระเบียบดังกล่าวเผยแพร่สู่สาธารณะ ก็มีการวิจารณ์อย่างกว้างขวาง สร้างความตื่นตัวแก่วงการสาธารณสุขอย่างมาก แม้ว่าระเบียบนี้จะกระทบกว้างขวางทุกส่วนราชการก็ตาม
ชมรมแพทย์ชนบทขอทำความเข้าใจกับสาธารณะว่า
1. ปริมาณงานในด้านการดูแลสุขภาพของทุกโรงพยาบาลเพิ่ม แต่กระทรวงการคลังไม่เข้าใจสถานการณ์จริง อุปสรรคสำคัญของการพัฒนาระบบสาธารณสุขคือ กระบวนการบริหารภาครัฐเองที่ไร้ประสิทธิภาพ มุ่งเน้นแต่จะควบคุมพันธนาการด้วยระเบียบหยุมหยิมที่ไร้สาระ ซึ่งสะท้อนวิธีคิดของรัฐบาลว่า “ปากก็พูด 4.0 แต่พฤติกรรม 0.4”
2. การระเบียบนี้เท่ากับเป็นการรวบอำนาจการพิจารณากลับสู่กระทรวงการคลัง ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะนี่ไม่ใช่เงินงบประมาณ แต่เป็นเงินบำรุงที่โรงพยาบาลเก็บหอมรอมริบ เป็นเงินบริจาค เงินทอดผ้าป่า การคุมเช่นนี้เท่ากับเป็นการทำลายโรงพยาบาลให้กลับไปซอมซ่อและพัฒนาถอยหลัง ซึ่งเหลือเชื่อว่า มติ ครม.และกระทรวงการคลังจะคิดได้แค่นี้
3. เงินนอกงบประมาณนั้น โรงพยาบาลไม่ได้ใช้จ้างเฉพาะลูกจ้างทำความสะอาดหรือพนักงานเปลเท่านั้น โรงพยาบาลต่างๆใช้จ้างตั้งแต่แพทย์ เภสัชกร พยาบาล เทคนิคการแพทย์ นักกายภาพบำบัด และวิชาชีพต่างๆด้วย เมื่อลูกจ้างทุกประเภททุกวิชาชีพลาออกหรือเมื่อโรงพยาบาลจะขยายงานคงต้องรอกันหลายเดือน ทั้งๆที่ความจริง รอหนึ่งสัปดาห์ก็สาหัสแล้ว
4. การรวบอำนาจเช่นนี้ คนที่เดือดร้อนแสนสาหัสจะเป็นทั้งผู้รับบริการและผู้ให้บริการ ที่ต้องเผชิญความเครียดจากระเบียบที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงนี้
การออกระเบียบฉบับนี้ มีส่วนที่ดีอย่างยิ่งอยู่ประการหนึ่งคือ ทำให้สาธารณะได้เห็นถึงวิธีคิดที่รวบอำนาจและการจัดการอันไร้ประสิทธิภาพของรัฐราชการ
ชมรมแพทย์ชนบทและเครือข่าย จึงขอเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้เกี่ยวข้องแสดงความรับผิดชอบ ในการออกระเบียบด้วยวิธีคิดที่ผิดพลาดอย่างรุนแรงด้วยการลาออก และขอให้ภาคประชาชนร่วมกันกดดันเพื่อสร้างระบบการบริหารประเทศที่มีธรรมาภิบาลกว่านี้ต่อไป..”
จดหมายเปิดผนึกลงนามโดย นายแพทย์เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท
การเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาชนคนอยากเลือกตั้งที่นำโดยคณะแกนนำรวม 14 คน เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมาที่บริเวณภายในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์วิทยาเขตท่าพระจันทร์ได้ยุติลงในช่วงบ่ายของวันดังกล่าวหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 3 พันคน ได้ตรึงกำลังตามจุดต่างๆ รอบบริเวณถนนกลางเมือง 3 สายคือถนนราชดำเนินในถนนราชดำเนินกลางและถนนราชดำเนินนอกเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มประชาชนประมาณ 600–700 คนเดินขบวน
เป็นที่ทราบกันดีกลุ่มประชาชนคนอยากเลือกตั้งกลุ่มนี้กว่าครึ่งเป็นขบวนการจัดตั้งของอดีตรัฐบาลในระบอบทักษิณที่ดำเนินการมานาน 3 ปี แล้วมีการปลุกระดมเพื่อมีเป้าหมายล้มรัฐบาลคสช.ภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ได้ก่อนสิ้นปี 2561 นี้เพราะคดีทุจริตต่างๆ ที่พรรคพวกของระบอบทักษิณตกเป็นจำเลยอยู่ในศาลนั้นใกล้จะถึงวาระที่ศาลจะพิพากษาในปีนี้และปีหน้า
การปฏิบัติการของตำรวจโดยการนำของพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตำรวจแห่งชาติและพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตำรวจแห่งชาติ ในวันครบรอบ 4 ปี ของการรัฐประหารของ คสช.มีการวางกำลังไว้เป็นจำนวน 15 ถึง 20 กองร้อยทำให้สามารถกดดันกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่มีจำนวน 700 คน ได้อย่างไม่ลำบากนักเพราะการปลุกม็อบของกลุ่มอยากเลือกตั้งทำไม่ได้ผลขาดการสนับสนุนจากประชาชนชาวกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.ผู้ทำหน้าที่คุมกำลังตำรวจได้กล่าวถึงความคืบหน้าหลังมีการจับกุมแกนนำคนอยากเลือกตั้ง 14 คน ว่า การสอบปากคำต้องใช้ระยะเวลาสักระยะ หากทำการสอบสวนเสร็จสิ้น จะคุมตัวแกนนำทั้ง 14 คน ไปขออำนาจศาลเพื่อทำการฝากขัง ในส่วนของพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจากก่อเหตุลักษณะดังกล่าวมาหลายครั้ง ทั้งนี้ ภาพรวมเหตุการณ์ชุมนุมตลอดทั้งวัน เป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่มีเหตุรุนแรง มีประชาชนเป็นลม 3 คน
สำหรับ 14 แกนนำ ที่ถูกจับกุมตัวนั้นมีทั้งหมด 14 คน ด้วยกันโดย 10 คนอยู่ที่สถานีตำรวจนครบาลพญาไท ได้แก่ 1.นายเอกชัย หงส์กังวาน 2.นายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ 3.นายอานนท์ นำภา 4.น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว5.น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา 6.นายวิโรจน์ โตงามรักษ์ 7.นายพุทธไธสิงห์ ทิมจันทร์ 8.นายคีรี ขันทอง 9.ว่าที่ร้อยตรีภัทรพล จันทร์โคตร 10.นายประสงค์ วางวัน ส่วนอีก 4 คนถูกสอบสวนที่สถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม คือ 11.นายรังสิมันต์ โรม 12.นายปิยะรัตน์ จงเทพ 13.นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ และ 14.นายนิกร วิทยาพันธุ์
ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกแจ้ง 3 ข้อหา ได้แก่ มาตรา 116 ข้อหายุยงปลุกปั่นให้เกิดการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย มาตรา 215 ข้อหาผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป หรือกระทำการให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และข้อหาขัดคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 ร่วมกันมั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปโดยนายนิกรนั้นเป็นผู้ใช้คีบตัดแม่กุญแจประตู 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ต้องรอให้อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แจ้งดำเนินคดีก่อน ถึงจะสามารถแจ้งข้อหา ทำลายทรัพย์สินของทางราชการ และลักทรัพย์ในเวลากลางคืนได้
การกระทำของประชาชนกลุ่มคนอยากเลือกตั้งครั้งนี้ทำให้ฝ่ายรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาจำเป็นจะต้องใช้มาตรการที่เด็ดขาดกับม็อบเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายและเป็นการไม่ยอมอ่อนข้อกับกลุ่มคนเหล่านี้ซึ่งน่าจะเป็นขบวนการที่จัดตั้งมาจากกลุ่มลูกน้องของระบอบทักษิณที่ดำเนินการมาตลอดที่พื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือหลายๆจังหวัด เช่น นครราชสีมา,ขอนแก่น,อุดรธานีและมหาสารคาม
ความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่างๆ น่าจะมีเป็นระยะต่อไปอีกเพราะมีเป้าหมายต้องการล้มรัฐบาลคสช.ทั้งในระยะสั้นคือเวลา 3 เดือน 6 เดือนและหนึ่งปีเป็นการกระทำที่ฝ่ายรัฐบาลและเจ้าหน้าที่คงทราบอยู่แล้ว เป็นที่คาดหมายว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีการรับมอบหมายมาจากนักการเมืองค่อนข้างแน่นอนโดยมีอาจารย์ของหลายๆมหาวิทยาลัยที่มีส่วนรู้เห็นด้วยซึ่งเป็นการกระทำเป็นขบวนการที่มีจุดประสงค์และต้องการหวังผลทางด้านการเมืองเป็นสำคัญ
การยื่นข้อเรียกร้องขอให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนปีนี้เป็นเป้าหมายลวงของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งเพราะจากข้อเท็จจริงที่ทางรัฐบาลคสช.นั้นได้ประกาศแน่นอนแล้วว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งเหลือระยะเวลาอีกประมาณ 9 เดือนโดยต้องมีการเตรียมการความพร้อมในการบริหารการเลือกตั้งอีกครั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560
ปัญหาในขั้นต่อไปที่รัฐบาลคสช.ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นผู้ดูแลความมั่นคงของประเทศก็คือการติดตามความเคลื่อนไหวของแต่ละกลุ่มการเมืองอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้มาสร้างปัญหาและก่อกวนความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองในขณะเดียวกันเมื่อใกล้จะมีการเลือกตั้งรัฐบาลก็จะต้องผ่อนปรนให้พรรคการเมืองปฏิบัติงานการเมืองได้เพื่อสร้างกระแสทางการเมืองที่มีเสรีภาพเช่นเดียวกับนานาอารยประเทศ
4. ประเด็นปัญหาสำคัญในเรื่องนี้
กระทรวงการคลัง กับกระทรวงสาธารณสุข มิได้หารืออะไรกันเลย
ก่อนที่จะออกระเบียบเช่นนี้หรือ?
สภาพความเป็นจริงของโรงพยาบาลในต่างจังหวัดส่วนใหญ่ เป็นที่ทราบกันดีว่า มีความขาดแคลน แออัด เจ้าหน้าที่ต้องทำงานหนักขนาดไหน
ส่วนใหญ่ ล้วนหาทางรอดไปตามอัตภาพ เช่น ระดมหาเงินบริจาคจากแหล่งต่างๆ มาไว้เพื่อดำเนินการพัฒนาระบบงาน สร้างตึกโดยใช้เงินทำบุญจากพระในท้องถิ่น ฯลฯ
แต่ส่วนกลางมาออกนโยบายที่วางระเบียบข้อบังคับ ในลักษณะบีบรัดการปฏิบัติ ห้ามจ้างเพิ่มโดยเงินนอกงบประมาณ หรือหากจะจ้างต้องทำเรื่องขออนุมัติข้ามกระทรวง แน่นอนว่าจะเกิดผลกระทบต่อการทำงานแน่ๆ
เรื่องนี้ สงสัยต้องถึง “บิ๊กตู่” อีกตามเคย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี