ภายหลังการเข้าเยี่ยมอดีตพระพุทธะอิสระ ตัวแทนผู้เข้าเยี่ยมได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า “ท่านฝากถึงลูกศิษย์ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง อย่าไปโกรธแค้น คสช. หรือตำรวจกองปราบปราม การชำระพระพุทธศาสนา พวกเราทำเองไม่ได้ แต่ คสช.ทำได้ จึงต้องให้กำลังใจ การเข้ามาในเรือนจำยังไม่ทำให้พ้นจากความเป็นพระ เพราะยังไม่ได้เปล่งวาจาสึก รออีกไม่นาน ก็จะได้ออกไปห่มผ้าเหลืองเหมือนเดิม การเข้าคุกเป็นภารกิจปราบอลัชชี ให้คิดว่ามาติดคุกขำๆ ในช่วงวันวิสาขบูชา อยากให้กลุ่มศิษย์ไปทำบุญที่วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม กันมากๆ”
กระนั้นก็ตาม “อาการ” ของบรรดาลูกศิษย์ลูกหา ทั้งที่เป็นแพทย์ เป็นสื่อ เป็นอดีตตำรวจ เป็นประชาชนธรรมดาๆ ทั่วไป ก็หาได้ “สงบ” ลงไม่ ยังคงพิรี้พิไร ราวกับเสียงของ “อาจารย์” ที่ฝากมา ไร้ค่า ไม่มีความหมาย ไม่ก่อ “สติปัญญา” ขึ้นมาแม้แต่น้อย
ไม่ได้ย้อนไปดู “คลิป” การเข้าจับกุมที่เอาแต่โกรธแค้นกันนั้น ว่าหลวงปู่พุทธะอิสระท่าน “สงบ” และ “มีสติ” เพียงใด
มีแต่ “ครู” แต่ไม่มี “การเรียนรู้” นับเป็นครู แต่ไม่เรียนรู้วิชา!!
เคยเห็นไหม หลวงปู่ตื่นสายแบบนั้น
เคยเห็นไหม หลวงปู่นอนขี้เซา ชนิดเขาพังประตูชั้นที่ 1 ก็แล้ว ชั้นที่ 2 ก็แล้ว ยังเพิ่งจะงัวเงีย ตื่นขึ้น เมื่อเขาตะโกนสั่ง เดี๋ยวให้นั่ง เดี๋ยวให้หมอบ
บ่อยหรือที่กุฏิซึ่งมักมีคนใจชั่วเที่ยวไปยิง เที่ยวไปปาระเบิด ไม่มีใครอยู่เลย นอกจากหลวงปู่
หัดเอะใจ ใส่ใจ ต่อรายละเอียดเหล่านี้ และ “ฟังครู กันบ้างเถอะ
นี่เอาแต่ “ควันออกหู” ไม่ได้ถอดรหัสคำว่า “การเข้าคุกเป็นภารกิจปราบอลัชชี” ให้ลุ่มลึก และกลับเข้าสู่ความสงบ แล้วหันไปเรียกร้องไล่จี้ ให้รีบติดตามจับกุม “2 พระพรหม” ที่เหาะหนีไปไร้ร่องรอย และช่วยกันกระจาย ขยายความ พฤติการณ์ของพระมหาเถระหลายรูปที่ถูกตรวจสอบอยู่ในขณะนี้ ให้ได้รู้กันไปทั่ว ซึ่งก่อคุณูปการ แถมสานต่อปณิธานของหลวงปู่อาจารย์อย่างมหาศาลกันบ้างเลย
เมื่อท่าน “สละ” ตัวเองขนาดนั้นแล้ว อยู่ข้างนอก ก็ช่วยกันแผ้วทางรก ให้เป็นทางเตียนกันต่อไปซี
วัดไหนที่อยากให้ไปตรวจสอบ พฤติกรรมไหนที่อยากให้กวดขัน-แก้ไข ก็ช่วยกันชี้เป้า ไล่จี้ ให้การปฏิรูปกิจการในคณะสงฆ์เดินหน้าและสำเร็จลงโดยเร็วเสียที เขามีคณะทำงานร่างกฎหมายไว้หมดแล้ว เขียนแนวทางการปฏิรูปไว้ละเอียดแล้ว เหลือแต่ “จังหวะที่เหมาะสม” ที่จะประกาศตูมออกมา ช่วยกันนำพาไปสู่ฤกษ์งามยามดีนั้นกันด้วยสติปัญญาบ้างดีไหม
ดึงสติกลับมา แล้วกลั่นกรองด้วยว่า มนุษย์มากหน้าหลายตาที่มาช่วยกัน “ด่าตำรวจ” ว่ากระทำเกินเหตุในวันเข้าจับกุมหลวงปู่นั้น เป็นพวกศิษย์แท้ หรือแค่ไอ้ห้อย อีโหน เกาะกระแส หาความนิยมชมชอบ หาพื้นที่เป็นข่าวให้แก่ตัวเอง
แล้วดูกันต่อว่า นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความของ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ อดีตพระพุทธะอิสระ ได้เปิดเผยว่า กลุ่มลูกศิษย์ของอดีตพุทธะอิสระ ได้มีมติร่วมกันว่า จะเดินทางไปเยี่ยมหลวงปู่ในวันนี้เป็นวันสุดท้าย เนื่องจากกลุ่มลูกศิษย์ที่อยากให้พุทธะอิสระได้พักจากอาการป่วย และตัวหลวงปู่เองก็ไม่อยากให้ลูกศิษย์ลำบากเดินทางมาหรือไปรบกวนเจ้าหน้าที่เนื่องจากมีจำนวนมาก ส่วนการเข้าไปปรึกษาทางคดีความของทนายก็ยังสามารถเข้าไปหารือได้ตามความเหมาะสม
ส่วนหลักฐานทางคดีความใน “ข้อหาปลอมแปลงพระปรมาภิไธย” ทางหลวงปู่ก็ได้ชี้แนะแนวทางการเตรียมการไว้บ้างแล้ว เนื่องจากข้อกล่าวหานี้ ผู้กล่าวหาได้กล่าวหามาตั้งแต่ ปี 2560 ซึ่งทางเราได้เตรียมพยานบุคคลซึ่งเป็นระดับชั้นผู้ใหญ่ที่จะนำมาใช้ยืนยันในเรื่องนี้ แต่ยังไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นใคร เนื่องจากคดีนี้มีความละเอียดอ่อนมาก โดยเบื้องต้นตนก็ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อชี้แจงในส่วนนี้เพื่อให้อยู่ในสำนวนการสอบสวนแล้ว โดยทีมทนายความเองก็ได้มีการเตรียมการตรงนี้ตั้งแต่โดนควบคุมตัวที่กองปราบฯแล้ว
ส่วนแนวโน้มว่า จะมีการประกันตัวเพื่อไปรักษาอาการป่วยนั้น ทางอดีตพุทธะอิสระยังไม่เปลี่ยนความตั้งใจเดิม และได้แจ้งผ่านทางลูกศิษย์ ว่า ไม่ต้องการเอาความเจ็บปวดของตนมาเป็นเหตุผลในการขอยื่นประกันตัว เพราะว่าจะเท่ากับว่าท่านใช้อภิสิทธิ์ ไม่อยากให้เจ้าหน้าที่เรือนจำโดนข้อครหาแบบนั้น
ดูให้รู้ อ่านให้ออก ในวิถีและวิธีของท่าน แล้วสนับสนุนสานต่อให้เกิดพลังในการเปลี่ยน เพื่อชำระสะสางวงการสงฆ์ให้สะอาด อันเป็นการช่วยสนับสนุนให้พระพุทธศาสนา ยังคงเป็นที่ศรัทธาแก่หมู่ชนทั้งหลาย
เบื้องต้นขอให้ติดตามข่าวสารที่ปรากฏออกมาเมื่อวันที่ 28 พ.ค.) ที่ กองปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. สั่งการให้ชุดสืบสวนกองปราบปราม เร่งสืบสวนติดตามจับกุมตัวสองพระผู้ใหญ่ผู้ต้องหาคดีเงินทอนวัดอย่างต่อเนื่อง โดยมอบหมายให้ พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ ผกก.1 บก.ป. จัดชุดสืบสวนติดตามตัว พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ที่น่าเชื่อว่าจะยังคงซ่อนตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และมอบหมายให้ พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.3 บก.ป. นำทีมสืบสวนติดตามตัว พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร โดยในส่วนของ พระพรหมเมธี นั้น จากการสืบสวนมีการคาดกันว่าอาจจะหลบหนีด้วยการพรางตัวในชุดฆราวาสก็เป็นได้
ทั้งนี้ ในส่วนของการสืบสวนขยายผลนั้น มีรายงานข่าวจากชุดสืบสวน ว่า นอกจากพระชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามรูป ประกอบด้วย
พระพรหมดิลก ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมตัวได้แล้ว พระพรหมสิทธิ และ พระพรหมเมธี สองผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี จะมีความผิดฐานฟอกเงินกรณีทุจริตเงินทอนวัดแล้ว ยังพบว่า พระผู้ใหญ่ทั้งสามรูปพัวพันกับการวิ่งเต้นการเลื่อนตำแหน่ง หรือสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ที่อยู่ภายใต้การปกครองด้วย โดยมีการเรียกรับผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง โดยเฉพาะกรณีของ พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา และเจ้าคณะกรุงเทพมหานครนั้น ในวันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม บุกเข้าจับกุมตัว และตรวจค้นภายในกุฏิได้พบเอกสารที่เกี่ยวกับการเลื่อนสมณศักดิ์ของพระสงฆ์จำนวนหลายรูป ซึ่งตรงกับแนวทางการสืบสวนที่พบว่าพระที่ปรากฏในเอกสารที่ยึดได้บางรูปนั้น เกี่ยวพันกันกับการวิ่งเต้นเพื่อขอเลื่อนสมณศักดิ์ในแต่ละปีอีกด้วย
แหล่งข่าวในชุดสืบสวน กล่าวว่า จากการสืบสวนในส่วนของวัดสามพระยา ทราบว่า พระพรหมดิลก ที่เป็นเจ้าอาวาส และมีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าคณะกรุงเทพฯ นั้น มีความสนิทสนมกับโยมสีกาเจ้าของร้านสังฆภัณฑ์ที่ค้าขายเกี่ยวกับเครื่องอัฐบริขารใน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี โดยจากการตรวจสอบรายละเอียดความสัมพันธ์ระหว่างสีกาเจ้าของร้านกับพระพรหมดิลก พบว่า มีความใกล้ชิดกันมาก ทำให้สีกาคนนี้สามารถเข้านอกออกในกุฏิของพระพรหมดิลกได้มานานมากกว่า 10 ปี ล่าสุด สีกาคนนี้ได้ส่งลูกเขยคนหนึ่งมาบวชที่วัดสามพระยา เพื่อปรนนิบัติรับใช้พระพรหมดิลกโดยตรง
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบการเดินทางในรอบปีที่ผ่านมา พบว่า สีกาคนดังกล่าวเดินทางไปต่างประเทศกับพระพรหมดิลกมากกว่า 10 ครั้ง แต่ละครั้งมีการระบุที่นั่งคู่กันอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าสีกาคนนี้จะมีครอบครัวแล้วก็ตาม ซึ่งจากการตรวจสอบเส้นทางทางการเงิน ยังพบว่าบัญชีของสีกายังมีความสัมพันธ์ในการโยกย้ายถ่ายเงินกับวัดสามพระยาและวัดอื่นๆ ภายใต้การปกครองของพระพรหมดิลกด้วย
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า หลังจากพบความสัมพันธ์ทางการเงิน ชุดสืบสวนจึงเข้าตรวจสอบรายละเอียดและสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องบางคน จนพบว่า มีวัดอย่างน้อยประมาณ 10 แห่ง ในเขตกรุงเทพฯ ที่สั่งซื้อเครื่องสังฆภัณฑ์จากร้านของสีกาคนนี้อย่างต่อเนื่องมานานนับสิบปี ทั้งใช้เงินของวัดเองที่ได้รับจากการบริจาค และเงินที่ได้รับอุดหนุนจากสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ และวัดแต่ละแห่งที่มีการสั่งซื้อสินค้านั้น เจ้าอาวาสผู้ปกครองวัด หรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสก็มีความสนิทสนมกับพระพรหมดิลก และ พระอรรถกิจโกศล เลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพฯ ที่ถูกจับกุมพร้อมกับพระพรหมดิลกด้วย อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า พระสงฆ์ที่สั่งซื้อสินค้าจากร้านสังฆภัณฑ์แห่งนี้ ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ตั้งแต่ระดับเจ้าคุณชั้นสามัญขึ้นไปอย่างต่อเนื่องในรอบเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ การสืบสวนยังพบว่ายังคงมีอีกหลายวัดในกรุงเทพฯสั่งซื้อสินค้าจากร้านสังฆภัณฑ์นี้ แม้ว่าวัดจะไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงก็ตาม โดยมีการติดต่อผ่านพระอรรถกิจโกศลที่ทำหน้าที่เลขานุการ
มีรายงานว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนกำลังพิจารณาว่าจะมีการเรียกโยมสีกาคนนี้ พร้อมด้วย สามีมาสอบปากคำหรือไม่ และหากมีหลักฐานเพียงพอในการกระทำความผิดก็อาจจะพิจารณาออกหมายจับเพิ่มเติม รวมทั้งพระสงฆ์บางรูปตั้งแต่ระดับเจ้าคุณชั้นสามัญขึ้นไปที่พบความเกี่ยวพันก็อาจจะถูกเรียกตัวมาสอบปากคำด้วย อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นจะมีการส่งบันทึกการสืบสวนทั้งหมดที่เกี่ยวกับหลักฐานที่เชื่อว่ามีการวิ่งเต้นตำแหน่งหรือสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของพระพรหมดิลกไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ เพื่อส่งต่อไปยังมหาเถรสมาคมเพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งของพระสงฆ์แต่ละรูปต่อไป
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า สำหรับกรณีที่ทำให้ พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ถูกกองปราบฯเสนอศาลอาญาออกหมายจับนั้น เนื่องจากตรวจสอบพบว่าพระพรหมเมธี ได้ทุจริตโอนเงินงบประมาณการจัดทำโครงการโรงเรียนพระปริยัติธรรม จำนวน 5 ล้านบาท ที่ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้มอบให้กับทางวัด โดยอาศัยช่วงที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวรมหาเถร) เจ้าอาวาส กำลังอาพาธอยู่และเป็นช่วงที่ตัวเอง
ได้เข้ามาดูแลบริหารจัดการทุกอย่างภายในวัดแทนชั่วคราว ทำการโอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าสู่บัญชีธนาคารส่วนตัวของตนเองเพื่อนำไปใช้จ่ายส่วนตัว และพบว่า มีการโอนให้กับสีกาคนสนิท โดยที่ไม่ได้นำไปใช้ในการจัดทำโครงการโรงเรียนพระปริยัติธรรมตามที่สำนักงานพระพุทธฯมอบหมายแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานจนนำไปสู่การขออำนาจศาลออกหมายจับดังกล่าว (ที่มา : แมเนเจอร์ออนไลน์)
ตามเรื่องเหล่านี้ไป พร้อมๆ กับเปิดหูเปิดใจให้ได้ยิน “คำขอโทษ” จากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หยุดถือสาในเรื่องกระพี้ ตามหา “แก่น” ของเรื่องนี้...ให้เจอ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี