การประชุมผู้นำ ACMECS หรือ กรอบความร่วมมือระหว่าง 5 ประเทศ คือ กัมพูชา ลาว พม่า ไทย และเวียดนาม ครั้งที่ 8 ที่กรุงเทพมหานครได้จบลงแล้ว ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความเชื่อมั่น ถึงการรวมตัวและความเชื่อมโยงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืน เราจะต้องช่วยกันสร้างประชาคม ACMECS ที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียว มีความร่วมมือและเดินหน้าไปร่วมกันอย่างมีบูรณาการ และมีส่วนสำคัญในการสร้างผลประโยชน์ในภูมิภาคและเป็นแกนนำสำคัญในการเสริมสร้างประชาคมอาเซียน
นายกรัฐมนตรีไทย ได้อธิบายและสนับสนุนสมาชิกACMECS ทั้งในภาคเศรษฐกิจและสังคม ก่อนจะระบุในตอนท้ายว่า รัฐบาลไทยได้ดำเนินนโยบายภายในต่างๆ ซึ่งช่วยสนับสนุนแผนแม่บท ที่เน้นการสร้างความเชื่อมโยงภายในอนุภูมิภาค อาทิ นโยบาย Thailand 4.0 การพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) โดยเชื่อว่า อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงจะเข้มแข็งได้ ก็ต่อเมื่อทุกประเทศเจริญก้าวหน้าไปพร้อมๆ กัน โดยไม่ทิ้งประเทศใดไว้ข้างหลัง
คำคม“ไม่ทิ้งประเทศใดไว้ข้างหลัง”มักจะถูกนำไปใช้ในการประชุมระดับต่างๆ ที่ถือเป็นเรื่องสำคัญ แต่หันมาดูประเทศไทยยังพบว่าประชาชนยังถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกจำนวนมาก
เมื่อเร็วๆ นี้ น.ส.วิมล ถวิลพงษ์ รองประธานชุมชนใต้สะพาน (ชุมชนพูนทรัพย์) เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า จากการทำงานในชุมชนรวมถึงพื้นที่อื่นๆ พบว่า ยังมีคนไทยที่ไม่มีบัตรประชาชนอยู่มาก กลายเป็นคนไทยไร้สิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุข หนึ่งในปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิตที่ควรเข้าถึงสิทธิ แม้ที่ผ่านมาได้ร่วมกับมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัยและภาคีเครือข่าย ผลักดันให้คนไทยไร้สิทธิส่วนหนึ่งได้รับการพิสูจน์สถานะและทำบัตรประชาชนไทยได้แล้ว แต่ยังคงมีคนไทยกลุ่มที่ตกสำรวจที่ยังไร้สิทธิไร้บัตรประชาชนอยู่จำนวนมาก โดยกระจายอาศัยอยู่ในจังหวัดต่างๆ
ดังนั้นเพื่อให้เกิดการคุ้มครองและดูแลคนไทยด้วยกันให้ได้รับสิทธิ โดยเฉพาะสิทธิการรักษาพยาบาล จึงมีข้อเสนอต่อกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้ออกประกาศขึ้นทะเบียนคนไทยที่ไม่มีบัตรประชาชน และให้คนเหล่านี้ได้รับสิทธิด้านสุขภาพก่อน ส่วนขั้นตอนการพิสูจน์สิทธิสถานะเพื่อให้ได้บัตรประชาชนขอให้ดำเนินการตามมาในภายหลัง เช่น การตามหาญาติยืนยัน การตรวจดีเอ็นเอ เป็นต้น รวมถึงสิทธิอื่นในฐานะคนไทย
น.ส.วิมลกล่าวว่า ก่อนหน้าที่จะเดินมาถึงข้อเสนอนี้ เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว เราได้เคยเสนอจัดตั้ง “กองทุนเพื่อดูแลคนไทยที่ไม่มีสิทธิรักษาพยาบาล” ให้เข้าถึงบริการในเวทีรับฟังความเห็นต่อระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จัดโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อให้คนไทยเหล่านี้เข้าถึงบริการสุขภาพก่อน เพราะล้วนเป็นคนไทยด้วยกัน เพียงแต่มีปัญหาการทำบัตรประชาชน อาทิ บางคนพ่อแม่ไม่แจ้งเกิด หนีทหารกลัวถูกจับทำให้ไม่กล้าต่อบัตรประชาชน บางคนหนีออกจากบ้านมาก็ไม่ได้ต่อบัตรประชาชน เป็นต้น ทำให้คนเหล่านี้กลายเป็นคนไทยที่ตกสำรวจไป ซึ่งได้นำมาสู่ข้อเสนอออกประกาศขึ้นทะเบียนคนไทยไม่มีบัตรประชาชน และการสำรวจจำนวนคนไทยไร้สิทธิ์ โดยมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างดำเนินการขณะนี้
ในการทำงานที่ผ่านมา จากที่ได้พาคนเหล่านี้ไปทำบัตรประชาชน บางสำนักงานเขต เจ้าหน้าเขตที่คอยอำนวยความสะดวกและช่วยค้นหาข้อมูลญาติให้ ทำให้สามารถติดต่อเพื่อมายืนยันสถานะตัวตนได้ แต่หลายเขตเจ้าหน้าที่ต่างปฏิเสธ บอกว่าเป็นการละเมิดสิทธิบุคคลอื่น ดังนั้นจึงอยากให้ พม.ประกาศขึ้นทะเบียนคนไทยที่ไม่มีบัตรประชาชน เพื่อให้เจ้าหน้าที่เขต เจ้าหน้าที่อำเภอและจังหวัดมีบรรทัดฐานเดียวกัน ช่วยค้นหาข้อมูลในการพิสูจน์สถานะบุคคล เพื่อให้ได้สิทธิความเป็นคนไทยกลับคืนมา
นอกจากนี้ยังมีกรณีพ่อเป็นต่างชาติ แม่เป็นคนไทย แต่เด็กที่เกิดมากลับไม่ได้รับสัญชาติไทย เพราะไม่ได้แจ้งเกิด รวมถึงกรณีที่เขตราชเทวีที่แม่อุ้มลูกหนีจากโรงพยาบาลเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าคลอด และไม่กล้าไปแจ้งเกิดเนื่องจากกลัวถูกจับ จนขณะนี้ลูกอายุ 20 ปีแล้ว กรณีนี้เราพาไปทำบัตรประชาชนโดยมีญาติและหลักฐานยืนยันได้ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยยังมีคนไทยที่ตกอยู่ในฐานะประชากรแฝงอยู่มาก ภาครัฐควรดูแลและคืนสิทธิความเป็นคนไทยให้กับคนเหล่านี้
ข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ภาครัฐจะต้องไปดูแลเพื่อจะได้ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี