ในวันพุธที่ 25 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ ประเทศปากีสถานจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อหาตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามครรลองเสรีประชาธิปไตย โดยในวงการเมืองเขามีพรรคหลักๆ อยู่ 8 พรรค ได้แก่
1. พรรคสันติภาพมุสลิม (Pakistan Muslim League-Nawaz - PML-N) มุสลิมชาตินิยม
2. พรรคประชาชนปากีสถาน (Pakistan Peoples Party - PPP) - ซ้ายกลาง
3. พรรคเตห์รีค-อี-อินซาฟ (Pakistan Tehreek-e-Insaf - PTI)
4. พรรคอาวามีแห่งชาติ (Awami National Party -ANP) ชนชาติพันธุ์พัชตุน
5. พรรคมุตตาฮิดา ความี (Muttahida Qaumi Movement - MQM) กลุ่มผู้อพยพมาจากอินเดีย เข้ามาตั้งรกรากที่การาจี
6. พรรคมุตตาฮิดา มัจลิส อี อามัล (Muttahida Majlis e Amal - MMA) ขวาจัดศาสนานิยม
7. พรรคพัคตุนวา มิลลี อวามี (Pakhtunkhwa Milli Awami Party - PkMAP) ชนชาติพันธุ์พัชตุนขวาจัด
8. พรรคแรงงานอวามี่ (Awami Workers Party -AWP) พรรคฝ่ายซ้าย
โดย 2 พรรคแรก ถือเป็นพรรคใหญ่ ได้ผลัดกันเป็นรัฐบาลมาตลอด โดยบางครั้งจะมีรัฐบาลทหารเข้ามาแทรกเป็นระยะๆ หรือไม่ กองทัพก็มักจะมีอิทธิพลต่อความเป็นไปของบ้านเมือง
แต่อย่างไรก็ดี ในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ กลับมีการคาดการณ์ว่า พรรคที่ 3 คือ พรรคเตห์รีค-อี-อินซาฟ น่าจะได้คะแนนสูงสุด เพราะด้วยความเป็นพรรคหน้าใหม่ ที่ได้รับการ
นำโดย บุคคลที่ได้รับความชื่นชมจากสังคมทั่วไปในลักษณะดารา(Popular) นั่นคืออดีตนักกีฬาคริกเกตอาชีพระดับโลก ซึ่งประจวบเหมาะกับช่วงที่ผ่านมา ทั้ง 2 พรรคแรก มีคะแนนนิยมตกต่ำลงอย่างมาก อันเนื่องมาจากการบริหารเต็มไปด้วยปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น และดำเนินนโยบายที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับฝ่ายกองทัพมาโดยตลอด นอกจากนั้น ทั้งสองพรรคยังล้วนเป็นพรรคที่เสมือนเป็นอุตสาหกรรมในครอบครัว ขึ้นอยู่กับผู้นำตระกูล หรือ “ราชวงศ์การเมือง” (Political Dynasty) ซึ่งกินเวลามายาวนานขนาดส่งไม้ต่อจากรุ่นปู่ถึงรุ่นหลานแล้ว
ในช่วงหลังๆ ปากีสถานจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ตกอยู่ในสายตาของสื่อ และแย่ตรงที่มักจะตกเป็นข่าวในเชิงลบแทบทั้งนั้น โดยเฉพาะในเรื่องการก่อการร้าย เรื่องการมีหัวรุนแรงทางศาสนาและการใช้กำลังรุงแรง มีการฆาตกรรมทางการเมือง โดยคดีใหญ่ๆ อย่างการฆาตกรรมอดีตนายกรัฐมนตรีเบนาซีร์ บุตโต (Benazir Bhutto) ตั้งแต่เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว จนบัดนี้คดีก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องกองทัพปากีสถานไปพัวพันกับการสนับสนุนขบวนการก่อการร้ายในกรณีสงครามกลางเมืองในอัฟกานิสถาน ควบคู่ไปกับการขัดแย้ง และเผชิญหน้าทางทหารกับอินเดีย ในกรณีพิพาทดินแดนแคชเมียร์ ซึ่งต่อเนื่องไปยังการดำเนินนโยบายที่จะใกล้ชิดสนิทสนมเป็นพิเศษกับจีน เพื่อล้อมอินเดีย และที่วุ่นวายไม่จบ ก็คือการลดความเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ ด้วยการเห็นต่างในเรื่องอัฟกานิสถาน รวมทั้งในเรื่องการปราบปรามผู้ก่อการร้าย และที่สำคัญ ในวันนี้ สังคมปากีสถานยังเต็มไปด้วยลัทธิชาติพันธุ์นิยม และภูมิภาคนิยม ที่เป็นอุปสรรค หรือบั่นทอนการสร้างรัฐชาติ (Nation-State Building)
เรียกได้ว่า ปากีสถานมีปัญหามากมายทั้งภายใน และการเมืองระดับภูมิภาค รวมทั้งบ้านเมืองของเขาโดยทั่วไป ก็ดูไร้เสถียรภาพอย่างยิ่ง
แต่ไม่ว่าสถานการณ์ของเขาจะวุ่นวาย อย่างไรก็ตามในวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ.2561 ปากีสถานก็จะเดินหน้าจัดการเลือกตั้งทั่วไปในระบอบเสรีประชาธิปไตย เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ ได้ (นอกจากนั้นแล้ว ปากีสถานเปิดโอกาสให้มีผู้สมัครอิสระ ไม่สังกัดพรรคด้วย)
จากกรณีของปากีสถานนี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะเผชิญกับปัญหาความมั่นคงรุมเร้ารอบด้าน ทั้งภายในภายนอก และเต็มไปด้วยประเด็นปัญหาซับซ้อนมากมาย แต่อย่างน้อยสังคมของเขาก็ได้แสดงให้ชาวโลกเห็นว่า ปากีสถานนั้นยังมุ่งมั่นอยู่กับการเสริมสร้างสังคมเสรีประชาธิปไตย
ปากีสถานไม่ได้อ้างคำว่า “เสถียรภาพ” เพื่อปฏิเสธการจัดการเลือกตั้ง แล้วยอมเปิดโอกาสให้ฝ่ายกองทัพครองเมือง หรือบงการวิถีทางการเมืองไปเรื่อยๆ อย่างที่ รัฐบาลทหารของไทย
เราทำ โดยผู้นำรัฐบาลไทยได้ยืนยันหลายครั้งหลายหนว่า เสถียรภาพต้องเกิดก่อน แล้วจึงจะคืนประชาธิปไตยให้ประชาชนชาวไทย ซึ่งก็ไม่เห็นว่าทางกองทัพ และรัฐบาล จะลงมือดำเนินการอะไร ที่จะทำให้สังคมไทยเกิดเสถียรภาพอย่างยั่งยืนจริงๆ เสียที นั่นจึงทำให้ชาวไทยอดคิดไม่ได้ว่า พวกฝ่ายกองทัพคงหมายความว่าคนไทยต้องยอมให้กองทัพอยู่ในอำนาจต่อไปเรื่อยๆ เพื่อธำรงเสถียรภาพของสังคมไทยกระมัง
เทียบกันกับปากีสถานแล้ว ปัญหาภายใน ภายนอกของเขานั้นใหญ่โต สลับซับซ้อน และเปี่ยมด้วยภยันตรายกว่าประเทศไทยเราหลายเท่า อย่างชนิดที่เทียบกันมิได้เลย แต่น่าแปลกใจแท้ที่ปากีสถานเขาก็ยังเลือกที่จะเดินหน้ากระบวนการทางประชาธิปไตย
มันก็เลยมีคำถามในใจว่า ถ้าปากีสถานเขายังจัดให้มีการเลือกตั้งได้ แล้วทำไมไทยจะทำบ้างไม่ได้เล่า?
มัวแต่อิดออด อ้างเสถียรภาพไปวันๆ ก็ขอถามตรงๆว่า แล้วมีสังคมประชาธิปไตยใดบ้าง ที่รัฐประเทศเขามีเสถียรภาพเต็มร้อย นั่นก็เพราะมนุษย์ทุกคนต่างมีสิทธิเสรีภาพ ต้องการมีส่วนร่วม โดยสามารถแสดงออก ผ่านทางการแสดงความคิดเห็นรวมถึงการจัดการชุมนุมเพื่อคัดค้าน แสดงความเห็นต่าง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาในสังคมประชาธิปไตย
และการจะอยู่ร่วมกันได้ในสังคม หนทางที่ดีที่สุดคือสร้างสรรค์สังคมที่เปิด ที่เป็นประชาธิปไตย เพื่อส่วนรวมให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม และใช้สติปัญญา เพื่อหาความลงตัวในความต่าง แทนที่จะใช้กระบอกปืนเป็นตัว “สร้าง” เสถียรภาพจอมปลอม
การบังคับขู่เข็ญได้ แล้วบอกว่ามีเสถียรภาพ กลับจะเป็นการกดกันมากกว่า เหมือนกดลูกปิงปองในน้ำเท่านั้น ปิงปองของสิทธิเสรีภาพก็ต้องเด้งขึ้นมาลอยน้ำได้ในวันหนึ่ง แต่จะกดกันจนสะท้อนกลับมาด้วยความรุนแรง หรือจะให้ค่อยๆ ลอยขึ้นด้วยการผ่อน และวางมือ ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่มีอำนาจจะเลือกทางไหน
อีกทั้ง จะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่า คนกลุ่มเดียวที่ใช้อำนาจเผด็จการ จะสามารถคิดและบริหาร ได้ดีกว่าความคิดความอ่านของประชาชนทั้งประเทศ นอกจากนั้น มนุษย์เราเองมีทั้งดีและชั่ว ทำผิดพลาดได้เสมอ ซึ่งบางคนก็สามารถใช้เป็นบทเรียน และบทเรียนนั้นจะเป็นประโยชน์ได้ ก็ต่อเมื่อสังคมนั้นเป็นสังคมเปิด เพื่อให้ผู้อื่นได้ช่วยกันเตือน แนะนำ และร่วมกันแก้ไขได้
เด็ก 12 คน และโค้ช ออกจากถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนจังหวัดเชียงราย มาแล้ว กำลังจะกลับไปสู่อิสรภาพ สู่ชีวิตปกติ แล้วเหตุใด รัฐบาล คสช. จะยังคงบีบให้ชาวไทยอยู่ในถ้ำร่วมกับพวกท่านไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีกำหนดออก ซึ่งมันคงไม่เป็นการถูกต้องชอบธรรมแต่อย่างใด
ถ้าปากีสถานที่เต็มไปด้วยภยันตรายต่างๆ นานา เขายังกล้าเลือกใช้วิถีทางประชาธิปไตยเพื่อจะหาหนทางออกจากถ้ำมืดไปสู่การสร้างเสถียรภาพให้กับสังคมของเขาแล้ว ประเทศไทยของเราซึ่งเป็นบ้านของเสรีชนมาช้านานก็ไม่น่าจะต้องมัวแต่หวาดกลัวกับคำว่า เสถียรภาพ จนไม่กล้าก้าวไปสู่กระบวนการประชาธิปไตย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี