ประเทศไทยกับการปราบปรามและขจัดกลุ่มผู้ทุจริต ฉ้อฉล ประพฤติมิชอบในทุกแวดวง ไม่ว่าจะวงราชการ หรือเอกชน แม้กระทั่งในวงการพระพุทธศาสนา และสถาบันการศึกษา ยังดูเสมือนพายเรือวนไปเวียนมาอยู่ในอ่าง ไม่มีความคืบหน้า จนกระทั่งมีเสียงวิจารณ์ว่า ช่างมืดมนอนธการเสียจนแทบจะไม่มีวันได้พบกับทางสว่าง
น่าแปลกที่รัฐบาลไทยทุกชุดชอบสร้างภาพด้วยการประกาศกวาดล้าง ปรามปราม กำจัด การทุจริตคอร์รัปชั่นให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงคำโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น
น่าสังเวชมากที่บางรัฐบาลประกาศอย่างครึกโครมว่าจะเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่เมื่อกลับไปดูเนื้อในของรัฐบาลจอมโลกลวง แล้วก็พบว่าตัว
ผู้นำรัฐบาลเองนั่นแหละที่เป็นตัวการของการฉ้อฉลทุจริต แถมรอบๆ ตัวผู้นำรัฐบาลอีกไม่ใช่น้อย ก็คือพวกที่ประชาชนให้ความเห็นตรงกันว่า “จอมขี้โกง”
เมื่อประเทศไทยมีรัฐบาลที่ประกาศจะปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นเพียงแค่ลมปาก ดังนั้นปัญหานี้จึงไม่เคยหมดสิ้นและไม่มีวันหมดสิ้นไปจากประเทศไทย เพราะในเมื่อผู้มีอำนาจรัฐไม่เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ แล้วจะมีอำนาจใดสามารถปราบปรามการคอร์รัปชั่นได้
ประเทศไทยมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการทุจริตฉ้อฉลมากมากเสียเหลือเกิน จนจำชื่อหน่วยงานได้ไม่หมด แต่หน่วยงานที่มีหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งประชาชนมักจะนึกออกได้ในลำดับต้นๆ ก็คือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และยังมีหน่วยงานตรวจสอบเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตโกงกินอีกมากมาย ทั้งหน่วยงานของรัฐ และของเอกชนภายในประเทศ
แต่ไม่ว่าจะมีหน่วยงานเหล่านี้มากมายสักเพียงใดก็ตาม ประเทศไทยก็ยังคงมีผู้กระทำการทุจริตฉ้อฉลอีกมากมาย และผู้ทุจริตฉ้อฉลเหล่านั้นก็ยังไม่ถูกหน่วยงานใดลงโทษ
คำถามจากสาธารณชนจึงเกิดขึ้นคือ ทำไมประเทศไทยมีหน่วยงานปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบมากมายหลายแห่ง แต่ปัญหาการโกงกินฉ้อราษฎร์บังหลวงก็ไม่เคยหมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย ตกลงว่าปัญหามันเกิดมาจากหน่วยงานดังกล่าวเหล่านั้นไม่มีประสิทธิภาพ หรือคนในหน่วยงานดังกล่าวเหล่านั้นไร้ประสิทธิภาพ แต่มีผู้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ หรือว่าคนบางคนในหน่วยงานเหล่านั้นมีพฤติกรรมฉ้อฉลทุจริตเสียเอง หรือคนบางกลุ่มตั้งคำถามว่า หรือว่ารัฐบาลไม่ได้ใส่ใจกับการปราบปรามการทุจริตฉ้อฉล ดังนั้นต่อให้มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการฉ้อฉลอีกกี่สิบกี่ร้อยแห่ง ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นบนแผ่นดินนี้ได้
ขอกลับไปพูดถึงเรื่องการโยกย้าย พลตำรวจตรีรมย์สิทธิ์ วีริยาสรร ให้พ้นจากตำแหน่งเลขาฯคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งสังคมเรียกปรากฏการณ์ครั้งนี้ว่า การเด้งฟ้าผ่าโดยคำสั่งของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยคำสั่งของนายกรัฐมนตรีสั่งให้โยกย้ายรมย์สิทธิ์ไปอยู่ที่ตำแหน่งผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หรือพูดให้เข้าใจง่ายที่สุดคือการ“เด้งไปแขวนไว้”
น่าประหลาดใจมากที่นายกรัฐมนตรีออกคำสั่งนี้โดยฉับพลันราวกับสายฟ้าแลบ หลังจากมีการเรียกประชุม คสช. อย่างเร่งด่วน ซึ่งผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์บางรายระบุว่าเป็นการประชุมที่แสนสั้น เพราะใช้เวลาเพียงประมาณ 10 นาที (บางคนบอกว่าไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำไป)
คำถามที่ตามมาคือ ทำไมจึงต้องเด้งรมย์สิทธิ์ เป็นเพราะว่ารมย์สิทธิ์ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ หรือเป็นเพราะว่ารมย์สิทธิ์ทำงานแล้วส่งผลให้ผู้มีอำนาจรัฐบางคน หรือผู้ยิ่งใหญ่บางรายเสียผลประโยชน์ซึ่งจัดอยู่ในประเภทลาภมิควรได้ หรือหากพูดให้ชัดคือ ทำให้คนบางคนที่ไปรับผลประโยชน์โดยมิชอบจากกลุ่มผู้ทำผิดกฎหมายเกิดอาการกินไม่คล่องคอ เพราะมีอุปสรรคในการกิน
ประเด็นเรื่องผลประโยชน์โดยมิชอบในสังคมไทย ที่คนไทยผู้ซึ่งไม่ไร้ปัญญา และไม่ไร้ข้อมูลจนเกินไป ต่างรู้ดีตรงกันเป็นอย่างดีก็คือ ผลประโยชน์มหาศาลจากบ่อนการพนันสารพัดชนิดและสารพัดรูปแบบ รวมถึงผลประโยชน์มหาศาลจากซ่องโสเภณี และยังมีข้อมูลเกี่ยวพันไปถึงการทุจริตในวัดซึ่งเป็นเสมือนอาณาจักรสีเทาดำแห่งหนึ่งอีกด้วย
เรื่องไม่ปรกติเหล่านี้ ผู้ที่ติดตามข่าวเรื่องนี้มาโดยตลอดต่างสงสัยว่า นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่รู้ระแคะระคายบ้างเลยกระนั้นหรือ แล้วเรื่องทุจริตภายในวัดซึ่งเป็นอาณาจักรสีเทาดำเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ผู้ที่รอบรู้ไปเสียทุกเรื่อง อย่างเช่น รองนายกรัฐมนตรี วิษณุ เครืองาม จะไม่มีข้อมูลเลยเชียวหรือ
ส่วนตัวละครหลักๆ ที่สาธารณชนผู้รู้เรื่องราวภายในของ ปปง. มากพอสมควรต่างเพ่งตามองตรงไปเมื่อเกิดกรณีนี้คือพลตำรวจเอกชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล อดีตเลขาธิการ ปปง. ซึ่งปัจจุบันกินตำแหน่งประธาน ปปง. หลายคนรู้ดีตรงกันว่า ชัยยะกับรมย์สิทธิ์ ไม่ลงรอยกันในหลายเรื่อง แม้เรื่องนี้จะมีอดีตรัฐมนตรีบางคนซึ่งมีตำแหน่งทางทหารระดับสูงพยายามเคลียร์ประเด็นความขัดแย้งให้แล้ว แต่ทว่าไม่เป็นผลสำเร็จ
นอกจากนั้น คนที่รู้เรื่องราวภายใน ปปง. ดีพอสมควรยังมองลึกไปถึงนายตำรวจอายุน้อย แต่ทว่ามียศสูงอีกรายหนึ่งที่เติบโตในราชการอย่างรวดเร็วจนหลายคนตั้งคำถามว่า “ได้มาอย่างไรกัน น้องเอ๊ย” และหลายคนก็รู้ดีว่านายตำรวจรายนี้ยังสนิทสนมมากมายก่ายกองกับทหารใหญ่ผู้มีข่าวนาฬิกาหรูหลายสิบเรือนอีกด้วย
เรื่องการโยกย้ายรมย์สิทธิ์ในครั้งนี้จะซ้ำรอยกับข่าวการโยกย้ายพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศานาแห่งชาติ หรือไม่ สาธารณชนกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด และกำลังมองลึกไปด้วยว่าผู้ออกคำสั่งโยกย้ายจะกลายเป็นผู้ที่มีลักษณะหูเบา เชื่อง่าย ชักเข้าชักออก และโลเล ไม่เป็นโล้เป็นพาย หรือไม่ รออีกไม่นานสาธารณชนจะได้รับรู้โดยพร้อมเพรียงกัน
ประชาชนที่มีปัญญาฝากบอกว่าเบื่อแสนเบื่อกับคำแก้ตัวที่ไร้สาระของผู้ออกคำสั่งโยกย้ายข้าราชการ ที่ชอบอ้างว่า โยกย้ายเพื่อความมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ หรือโยกย้ายเเพื่อความเหมาะสม ประชาชนที่มีปัญญาฝากบอกด้วยว่า ยิ่งผู้มีอำนาจรัฐอ้างเรื่องนี้มากและบ่อยขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาของผู้พูดมากขึ้นเท่านั้น
ประชาชนผู้รักความเป็นธรรมบอกว่า ผู้มีอำนาจรัฐต้องเป็นคนที่มีสติปัญญาเข้มแข็ง ต้องรักและยึดมั่นในความเป็นธรรม ต้องปกป้องคนดีที่ตั้งอกตั้งใจทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมืองด้วยความถูกต้องซื่อสัตย์สุจริต หากผู้นำรัฐไม่มีคุณลักษณะดังกล่าวข้างต้นแล้ว ขอจงได้โปรดพิจารณาตัวเอง แล้วโปรดจงลาออกจากตำแหน่งก่อนเป็นอันดับแรก เพราะประเทศไทยเสียเวลา และเสียหายมามากจนเกินพอแล้วกับการมีผู้นำรัฐที่ดีแต่พูด โดยเฉพาะผู้นำรัฐจำพวกที่ทำหน้าที่บริหารประเทศแบบละเลงขนมเบื้องด้วยปาก
อันที่จริงอยากจะพูดถึงเรื่องที่สาธารณชนตั้งข้อสงสัยมากมายภายใน ป.ป.ท. ด้วย แต่พื้นที่สำหรับการชวนคุณผู้อ่านคิดไปด้วยกันในวันนี้หมดลงแล้ว เอาเป็นว่า ขอให้เราทุกคนที่ร่วมกันเป็นเจ้าของประเทศช่วยกันจับตามองว่า ในที่สุดแล้ว ปปง. จะเดินไปในทิศทางไหน จะรอดพ้นจากอำนาจที่ไม่น่าจะขาวสะอาดหรือไม่ แล้วก็ขอให้ช่วยกันจับตามองเรื่องราวของ ป.ป.ท. ด้วยว่าจะไปในทิศทางไหน จะทำหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการทุจริตของแผ่นดินไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด เพราะถ้าหากมีองค์กรต่อไป แต่ไม่สามารถป้องกันและปราบปรามการทุจริตได้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีให้สูญเสียงบประมาณแผ่นดิน ส่วนเรื่องภายใน ป.ป.ช. นั้น ประชาชนที่มีสติปัญญาบอกว่า ป.ป.ช. ยุคนี้น่าจะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ไม่ง่ายนัก
แต่เอาเป็นว่า ในขณะนี้ประชาชนกำลังจับตามองเรื่องภายใน ปปง. ว่าจะลงเอยอย่างไร จะออกหัวหรือก้อย แล้ว ปปง. จะเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เพื่อสาธารณชนได้มากน้อยเพียงใด หรือว่าจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้มีอำนาจที่ไม่น่าจะสุจริต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี