nn อาจจะเป็นข่าวธรรมดาในสายตาหลายคนเรื่องที่ “ทาทา สตีล”...ผู้ผลิตเหล็กสัญชาติอินเดีย และใหญ่เป็นอันดับ 10 ของโลก ประกาศขายธุรกิจทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้...รวมทั้งโรงเหล็กในประเทศไทยด้วย...แล้วหันกลับไปรุกตลาดในอินเดียเพียงอย่างเดียว....
แต่สำหรับ “หมุนตามทุน”...คิดว่าเรื่องนี้ข่าวไม่ธรรมดาเพราะสะท้อนภาพได้หลากหลายมิติสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทย...!! แนวหน้า โลกธุรกิจ...นำเสนอบทความมาอย่างต่อเนื่องถึงความยากลำบากของอุตสาหกรรมในประเทศไทย...ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายรูปแบบ...ทั้งความต้องการใช้ที่ลดลงตามสภาพเศรษฐกิจของไทยในช่วง 4-5 ปีมานี้...และการถูกแย่งตลาดจากเหล็กนำเข้าจากหลายประเทศ...โดยเฉพาะจากประเทศจีน..ที่เข้ามาทุ่มตลาดเหล็กไทย...และที่เป็นประเด็นที่ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กของไทยนั้นรู้สึกท้อแท้มากที่สุด...ก็คือบทบาทและท่าทีของภาครัฐที่ไม่ใส่ใจที่จะปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศของตัวเอง...ซึ่งสวนทางกับหลายประเทศในโลกนี้เร่งออกมาตรการมาปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศของตัวเอง...เมื่อเหล็กจากจีนออกอาละวาดตลาดเหล็กทั่วโลก....
ว่าด้วยเรื่องอุตสาหกรรมเหล็กของจีนนั้น...ย้อนหลังไปสิบกว่าปีก่อนนั้นขยายตัวอย่างรวดเร็วมีกำลังการผลิตปีละ 700-800 ล้านตัน..เพื่อรองรับความต้องการในประเทศที่พุ่งกระฉูดตามอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนที่เติบโตปีละมากกว่า 10% ต่อเนื่อง 20 กว่าปี...จนกระทั่งเมื่อ 2-3 ปีก่อนเมื่อความต้องการใช้เหล็กในประเทศของจีนเริ่มชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ลดความร้อนแรง และผลจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มส่งสัญญาณ“ฟองสบู่”ทางการจีนก็เลยต้องออกนโยบายลดกำลังการผลิตเหล็กในประเทศโดยตั้งป้าหมายไว้ที่ 100-150 ล้านตัน (นับตั้งแต่ปี 2559)...
ด้วยต้นตอนี้เองทำให้เกิดวิกฤติ “เหล็กจีนป่วนโลก”...หนึ่งในวิธีการลดกำลังการผลิตของจีน..ก็คือสั่งปิดโรงงานเหล็กคุณภาพต่ำที่ใช้เทคโนโลยีเก่าและสร้างปัญหามลพิษกว่า 100 โรงงาน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นโรงเหล็กที่เรียกว่า “เตาอินดักชั่น เฟอร์เนซ”...นอกจากนั้นก็ส่งออกเหล็กไปทุ่มตลาดเหล็กทั่วโลก...และไทยก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายนั้น...เพราะไทยมีมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมและตลาดในประเทศอ่อนแอที่สุด....
แม้ว่ากระทรวงพาณิชย์จะแย้งว่าไทยเองก็มีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด(เอดี)...หรือมาตรการป้องกันการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น(เซฟการ์ด)...แต่กว่าจะประกาศบังคับใช้ได้ต้องใช้เวลาไต่สวนเป็นปีๆ...ขณะที่ประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ อียู ออสเตรเลีย ฯลฯ...เขามีทั้ง AD เซฟการ์ด เซอร์ชาร์จ...ฯลฯ...ที่สำคัญคือบังคับใช้ทันทีทันใด ก่อนจะไต่สวนเสียอีก...ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจต้านทาน“เหล็กจีนป่วนโลก”ได้เลย...
สำหรับประเทศไทยถ้ากระทรวงพาณิชย์ไม่ “โลกสวย” ก็โปรดยอมรับเถอะว่าเราอ่อนแอที่สุดในเรื่องการปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ...แล้วก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้...ทาทา สตีล...ถอดใจม้วนเสื่อกลับบ้านไป...เพราะท่าทีของคณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้อง (คปป.)...กำลังจะยุติการขยายเวลาบังคับใช้มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออื่นๆ ชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนที่เพิ่มขึ้น...รวมทั้งการล้ม AD เหล็กเคลือบสังกะสี...และมาตรการปกป้องอื่นๆสำหรับเหล็กชนิดอื่นๆที่กระพาณิชย์และ คปป.กำลังจะพยายามยกเลิกไปอีก...
แม้แต่ผู้ผลิตเหล็กอันดับ 10 ของโลกยังถอดใจ...แล้วผู้ประกอบการสัญชาติที่ตอนนี้ก็มีสภาพอ่อนแอหนักอยู่แล้วจะทนได้อีกนานแค่ไหนกัน...การที่ คปป. กำลังจะยุติการขยายเวลาบังคับใช้มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออื่นๆ ชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนที่เพิ่มขึ้น…ไม่ใช่แค่การเปิดประตูให้เหล็กจากจีนเท่านั้นตอนนี้ รัสเซีย เกาหลีใต้ และอีกหลายประเทศเตรียมจะเข้ามาถล่มไทยแล้ว...!! อ้อเกือบลืมบอกว่า คนที่เข้ามาซื้อโรงเหล็กทาทา สตีล ในไทยก็คือ ผู้ผลิตเหล็กเบอร์ 1 ของจีน และใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก...นึกภาพออกมาไหม...ขนาดว่าเบอร์ 10 ของโลกยังสู้ไม่ไหว...แล้วผู้ประกอบการไทยล่ะครับ...!! อีกไม่นานก็คงจะสูญพันธุ์ไปจากอุตสาหกรรมเหล็กอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง....
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี