nn วันนี้ต้องจับตาผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในประเด็นการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยว่าจะออกมาในทิศทางใด...จะปรับมาอยู่ในช่วงขาลงทันทีทันใดตามทิศทางของภาวะการเงินของโลกหรือเปล่า...หรือจะยังคงนิ่งๆไว้ก่อนสวนทางกับทิศทางของดอกเบี้ยในตลาดการเงินของโลก....
ต้องยอมรับว่าตลอดปีนี้ ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกนั้นอยู่ในช่วงชะลอตัว ทำให้ธนาคารกลางในประเทศต้องตัดสินใจใช้นโยบายดอกเบี้ยที่ผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศ... เช่น ธนาคารกลางออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย และประเทศในกลุ่มอาเซียนอย่าง มาเลเซีย และ ฟิลิปปินส์ ตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายไปแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง
ส่วนธนาคารกลางประเทศหลักๆ ของโลกหลายประเทศก็แสดงท่าทีที่จะใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย...เช่น ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ เฟด ซึ่งการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อสัปดาห์ก่อน ก็ตัดสินใจคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับเดิม พร้อมทั้งส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อย 1 ครั้ง ในปีนี้...หลังจากเฟดเริ่มกังวลที่สภาพเศรษฐกิจสหรัฐ เริ่มมีส่อเค้าของการชะลอตัวมากขึ้น...ซึ่งสัญญาณนี้สะท้อนออกมาจากข้อมูลเศรษฐกิจหลายตัวที่ย่ำแย่....เช่น อัตราการจ้างงานที่ลดลงจากเฉลี่ย 223,000 คนต่อเดือนในปีที่แล้ว เหลือเพียง 155,000 คนในปีนี้ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าเป้าหมาย 2% อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ตุลาคมปี 2018 โดยล่าสุดอัตราเงินเฟ้อเดือนเมษายนอยู่ที่เพียง 1.6% ฯลฯ....และจากท่าทีของเฟดทำให้ตลาดเงินทั่วโลกคาดธนาคารกลางญี่ปุ่นและยุโรปอาจใช้มาตรการทางการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มเติมอีก....
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2019 ก็มีทิศทางชะลอลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วงต้นปีเป็นต้นมา ซ้ำร้ายยังไม่เห็นภาพของการฟื้นตัวอย่างชัดเจนด้วย (แม้ว่าหน่วยงานภาครัฐหลายแห่งจะออกมาให้ข่าวปลายปีนี้น่าจะฟื้นตัวได้)...ซึ่งการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ก็มาจากปัจจัยลบหลายอย่าง แต่หลักๆ น่าจะมาจากผลกระทบของสงครามการค้าและค่าเงินบาทที่แข็งค่าที่กระทบต่อการส่งออกไทย นอกจากนี้ ความล่าช้าของการจัดทำงบประมาณในปี 2563 ของรัฐบาลใหม่ อาจทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐต้องชะลอตาม...รวมทั้งการลงทุนภาครัฐที่อาจมาช่วยผลักดันการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนได้ในช่วงปลายปี ก็อาจจะชะลอตัวไปตามผลของการชะงักงันในการใช้จ่ายเงินงบประมาณ...
ด้วยปัจจัยแวดล้อมทั้งจากภายในและภายนอกประเทศอย่างที่กล่าวมาข้างต้นนี้เอง..ทำให้ตลาดเงินคาดการณ์ว่า จะเป็นแรงสนับสนุนให้คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยพิจารณาลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ...
แต่ถึงกระนั้นตลาดเงินก็ยังคาดว่าการลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็อาจเป็นไปได้อย่างจำกัด เนื่องจากภาพรวมของตลาดเงินของไทยเองก็มีแรงกดดันหลายอย่าง เช่น กรณีของสินเชื่อรายย่อยในระบบธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มมามากแล้ว ตัวเลขล่าสุดอยู่ที่ 4.6 ล้านล้านบาท...สวนทางกับสินเชื่อภาคธุรกิจที่แม้ว่าจะได้รับผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมานาน แต่อัตราการขยายตัวของสินเชื่อในภาคธุรกิจก็ยังอยู่ในอัตราที่ต่ำ...โดยตัวเลขในไตรมาสแรกอยู่ที่ 3.4% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 4.4%
อีกตัวเลขหนึ่งที่เป็นแรงกดดันสำคัญคือภาพรวมของหนี้ครัวเรือน ที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้กลับต่ำลง...ตัวเลขล่าสุดจากแบงก์ชาติพบว่า... หนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วันหรือ NPL ของสินเชื่อรายย่อยรวมสูงถึง 1.3 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 2.75% ของสินเชื่อทั้งหมด โดยมี NPL ของสินเชื่อที่อยู่อาศัยสูงสุดประมาณ 7.7 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ NPL สินเชื่อรถยนต์ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 24% สูงแตะระดับ 1.9 หมื่นล้านบาท
สัญญาณเหล่านี้ล้วนบ่งบอกถึงความสามารถในการจ่ายหนี้ที่ด้อยลงของภาคครัวเรือน ดังนั้นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในสถานการณ์แบบนี้ อาจส่งผลเสียต่อเสถียรภาพระบบการเงินได้..เพราะเมื่อดอกเบี้ยลดลงหรืออยู่ในระดับต่ำต่อไปอีก ก็จะไปกระตุ้นการก่อหนี้ของภาคครัวเรือนให้สูงขึ้นอีก....จนในที่สุดอาจจะทำให้ภาคครัวเรือนขาดความสามารถในการชำหนี้อย่างรุนแรง จนส่งผลต่อระบบการเงินในอนาคต
สรุปก็คือว่า ในที่สุดธนาคารแห่งประเทศจะให้น้ำหนักทางไหนมากกว่ากัน...ระหว่างปัจจัยหนุนในการตัดสินใจลดดอกเบี้ย หรือแรงกดดันจากภาพรวมของตลาดเงินในประเทศที่เป็นข้อจำกัดในการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย....กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี