nn ในขณะที่ภาคการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่หดตัวลงต่อเนื่อง และการท่องเที่ยวที่ไม่ขยายตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว...ทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องหันมาพึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งการบริโภค และการลงทุน ของภาครัฐและเอกชน... ซึ่งในช่วงต่อจากนี้หลายปีที่รัฐบาลวางแผนการขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐหลายด้านวงเงินกว่า 2 ล้านล้านบาท จึงเป็นความหวังสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน และช่วยให้ผู้ประกอบการของไทยได้รับอานิสงส์นี้ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศที่ต้องประสบปัจจัยลบหลายด้านเข้ามากระทบต่อเนื่องยาวนานหลายปี
ล่าสุด กลุ่ม 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กกว่า 470 บริษัท เดินทางเข้าพบนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2562 เพื่อแสดงความยินดีที่ได้เข้ารับตำแหน่ง และแสดงจุดยืนสนับสนุนนโยบาย “Thai First” ไทยทำ ไทยใช้ คนไทยต้องได้ก่อน เพื่อให้โครงการก่อสร้างต่างๆ ในสังกัดกระทรวงคมนาคมช่วยให้เกิดการหมุนเวียนมูลค่าทางเศรษฐกิจภายในประเทศ และเป็นแบบอย่างที่ดีในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยของหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ อีกด้วย เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
นายนาวา จันทนสุรคน นายกสมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย และผู้ประสานงานกลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ รายงานถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กไทยขณะนี้ได้รับผลกระทบจากปัญหาสินค้านำเข้าที่พฤติกรรมการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมทั้งการทุ่มตลาดและการหลบเลี่ยงมาตรการทางการค้าส่งผลให้ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 มีส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือเพียง 34% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2559 นอกจากนี้อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ในอัตราที่ต่ำมากประมาณ 38% เท่านั้น ซึ่งขณะนี้เวียดนามได้ส่งเสริมอุตสาหกรรมเหล็กจนมีอัตราการใช้กำลังการผลิตแซงประเทศไทยแล้ว โดยอยู่ที่ 69% หรือแม้แต่ประเทศอินโดนีเซีย ก็ตั้งเป้าใช้กำลังการผลิตในประเทศถึง 70% ในปี 2562
ดังนั้น กลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ จึงขอสนับสนุนนโยบาย Thai First ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมซึ่งเป็นนโยบายที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศในอาเซียน รวมถึงประเทศต่างๆทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกาที่มีนโยบาย Buy American โดยล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 ได้ปรับเพิ่มสัดส่วนการใช้สินค้าในประเทศกับโครงการภาครัฐ โดยกำหนดใช้สินค้าเหล็กที่ 95% และสำหรับสินค้าอื่น50-75% หรือ อินเดียที่มีนโยบาย Make in India ซึ่งทั้งหมดเป็นนโยบายเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศทั้งสิ้น โดยกลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ ได้เสนอให้กำหนดสัดส่วนการใช้สินค้าเหล็กและเหล็กกล้าที่ผลิตได้ภายในประเทศสำหรับงานโครงการของกระทรวงคมนาคมในอัตราขั้นต่ำ 90% รวมถึงพิจารณาใช้สินค้าเหล็กตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของไทย (มอก.)
ขณะที่ดร.สมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหารสถาบันเหล็กฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าปัจจุบันการก่อสร้างงานภาครัฐที่ประมูลได้โดยบริษัทสัญชาติจีนนั้น ประเทศไทยได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจน้อยมากเนื่องจากจีนจะยกมาทั้งโครงสร้างเหล็ก ซึ่งประกอบด้วยเหล็กหลายผลิตภัณฑ์ โดยส่งผลกระทบต่อโดยตรงผู้ประกอบการเหล็กในประเทศและผู้ผลิตโครงสร้างเหล็กในประเทศซึ่งมีการจ้างงานกว่าหมื่นคน อีกทั้งสินค้าโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูปที่นำเข้ามานั้นขณะนี้ยังไม่มี มอก. ควบคุมคุณภาพด้วย ดังนั้น เพื่อเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวมการกำหนดสัดส่วนการใช้สินค้าเหล็กที่ผลิตในประเทศจึงมีความสำคัญมาก
ด้านดร.เภา บุญเยี่ยม เลขาธิการสมาคมผู้ผลิตเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน กล่าวเสริมว่า ปี 2561 มีการนำเข้าสินค้าโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูปประมาณ 2.7 แสนตัน มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท คิดเป็น 25% ของความต้องการใช้ โดยส่วนใหญ่ใช้แรงงานจากต่างประเทศ ไม่มีการจ้างงาน และไม่เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจของประเทศ
ส่วนนายพลัฎฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ ผู้แทนสมาคมโลหะไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันภาครัฐมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระดับเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้มีการอนุมัติโครงการขนาดใหญ่มากมายเพื่อส่งเสริม GDP ของประเทศ ซึ่งหากเป็นในอดีตโครงการดังกล่าวจะสามารถกระตุ้นการผลิต การใช้ในประเทศได้เป็นอย่างดี เนื่องจากอุตสาหกรรมก่อสร้างมีความเชื่อมโยงกับคลัสเตอร์ต่างๆ มากมายในประเทศแต่ในปัจจุบันได้ผลค่อนข้างน้อย เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่ใช้สินค้าสำเร็จรูปนำเข้าจากต่างประเทศทำให้ไม่เกิดการผลิต การจ้างงานในประเทศ แต่อานิสงส์ทางเศรษฐกิจกลับไปอยู่กับผู้ประกอบการจากต่างประเทศแทน
ส่วนนายชัยเฉลิม บุญญานุวัตร นายกสมาคมผู้ผลิตเหล็กทรงยาวด้วยเตาอาร์คไฟฟ้าให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า หากมีการกำหนดสัดส่วนการใช้สินค้าเหล็กในประเทศ ควรจะพิจารณาให้เกิดการใช้สินค้าเหล็กทั้งห่วงโซ่การผลิตเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้เมื่อ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกล่าวว่ารับทราบปัญหาดังกล่าวแล้ว จึงได้มีแนวทางแก้ปัญหาโดยกำหนดเป็นนโยบาย Thai First ขึ้นมาและผลักดันให้เป็นนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วยและได้มอบหมายให้ นายพิศักดิ์จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคมร่วมกับกลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ ตั้งคณะทำงานศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้สินค้าเหล็กในประเทศของกระทรวงคมนาคม โดยให้เร่งดำเนินการภายในเดือนตุลาคม 2562 นี้เพื่อนำเสนอผลการศึกษาต่อคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อพิจารณากำหนดนโยบายต่อไป
อย่างที่“หมุนตามทุน”ได้เคยรายงานมาหลายปีต่อเนื่องว่า อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศของไทย จำเป็นต้องได้รับการดูแล เฉกเช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศทั่วโลกที่เขาดูแลอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศของตน....และในขณะที่ประเทศไทยไม่กล้าที่ตัดสินใจใช้มาตรการปกป้องทางการค้าอย่างเข้มข้นเหมือนกับประเทศอื่นๆ หนทางหนึ่งที่จะพอจะช่วยได้อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศได้ก็ต้องสนับสนุนให้มีการใช้เหล็กในประเทศเป็นหลักในโครงการลงทุนของรัฐ ด้วยการทำให้นโยบาย Thai First มีผลทางปฏิบัติเป็นรูปธรรมโดยเร็ววันก่อนที่จะสูญเสียเม็ดเงินลงทุนหว่า 2 แสนล้านบาท ในอุตสาหกรรมเหล็ก และคนอีกหลายแสนคนจะต้องตกงาน....
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี