nn ต้องยอมรับว่าทั้งโลกต้องเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 ไปตลอดปีนี้...สำหรับประเทศไทยก็เช่นกันแม้ว่าในด้านสาธารณสุขสถานการณ์จะดูดีกว่าหลายประเทศทั่วโลก แต่ด้านเศรษฐกิจนั้นได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเหมือนกันกับทุกประเทศทั่วโลก และคาดว่าจะอยู่สภาวะซบเซาไปตลอดปีนี้
ทั้งนี้ ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยล่าสุด (ตัวเลขในเดือนเมษายน) จากทุกสำนักวิชาการด้านเศรษฐกิจระบุตรงกันว่า เครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกตัวดับลง โดยการท่องเที่ยวนั้น ติดลบ 100% เนื่องจากไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศจากมาตรการปิดประเทศของไทยและเกือบทุกประเทศทั่วโลก...ส่วนการส่งออกนั้น (เครื่องยนต์ใหญ่สุด) ติดลบกว่า 10%เนื่องจากความต้องการของประเทศคู่ค้าที่ลดลง ซึ่งเห็นชัดเจนที่สุด คือ กลุ่มยานยนต์ ที่ติดลบมากที่สุดขณะที่การบริโภคของภาคเอกชน ก็ติดลบ 15.1%ด้วยเหตุที่มีประชาชนหลายล้านคนต้องตกงาน ส่วนการลงทุนภาคเอกชน ก็ติดลบ 6.1% ซึ่งเป็นไปตามภาพรวมเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ทำให้เอกชนไม่กล้าลงทุน ขณะที่ความต้องการภายในและต่างประเทศลดลง ส่งผลให้ภาคการผลิต ก็ติดลบ 17.2% สุดท้ายรายได้ภาคเกษตรที่ลดลงจากผลกระทบภัยแล้ง
ณ ตอนนี้เครื่องยนต์ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมีเหลือเพียงตัวเดียวเท่านั้นคือ การใช้จ่ายของภาครัฐไม่ว่าจะเป็นรายจ่ายประจำ (เงินเดือนข้าราชการ จัดซื้อวัสดุภัณฑ์) รายจ่ายลงทุน (ตามกรอบงบประมาณ) รายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งเงินโอนในโครงการเราไม่ทิ้งกัน (ประมาณ 6 แสนล้านบาท)
เหตุที่บอกว่าเศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะซบเซาไปตลอดปีนี้ เนื่องจากเครื่องยนต์ตัวหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ทั้งการส่งออก ท่องเที่ยว การลงทุนภาคเอกชน ล้วนต้องพึ่งพาปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจโลกและด้วยภาพรวมของเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางแรงกดดัน...การระบาดของโควิด-19 สงครามการค้าจีนกับสหรัฐ ระลอก 2...เหตุการณ์ภายในของสหรัฐเอง...ก็หมดโอกาสที่จะหวังว่าเป็นปัจจัยบวกสำหรับ การส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุน ของไทยได้
ถึงนาทีก็ต้องบอกได้คำเดียวว่าต้องพึ่งตัวเอง ต้องพึ่งเศรษฐกิจในประเทศ แน่นอนว่าคงไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจกับมาเฟื่องฟูหรือเติบโตได้ แต่เป็นการประคองให้ไม่ทรุดหนักไปกว่านี้ไม่ทำให้ล้มไปมากกว่านี้...ซึ่งประเด็นที่น่าห่วงที่สุดตอนนี้คือ ภาวะการว่างงาน โดยในเดือนเมษายน เฉพาะผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม มีจำนวนผู้ขอรับสิทธิ์ว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคมที่ 170,144 ราย เป็น 215,652 รายในเดือนเมษายน และเป็นการถูกเลิกจ้างถึง 16% ส่วนสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 445 แห่ง เป็น 2,406 แห่ง ในเดือนเมษายน และเมื่อรวมกับแรงงานในอาชีพอิสระและแรงงานที่อยู่ในธุรกิจ ที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว อัตราการว่างงานของประเทศจะแตะอยู่ในระดับ 7-10 ล้านคนเลยทีเดียว
หมุนตามทุน...ขอสนับสนุนแนวคิดของ ท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คุณวิรไท สันติประภพ...ที่กล่าวไว้ว่าวิกฤติโควิด-19 มีผลกระทบไปทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย การรับมือปัญหาทางเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 “มาตรการทางการคลัง” ต้องเป็นพระเอก เพราะวิกฤติโควิด-19 ทำให้คนหลายสิบล้านคนรายได้หายไป ดังนั้นต้องเติมรายได้เข้าไป ขณะที่มาตรการทางการเงินเป็นมาตรการเสริมมาตรการที่ประคอง รัฐบาลออก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ได้จัดสรรเงิน6 แสนล้าน สำหรับการเยียวยาประชาชนไปแล้ว เหลืออีก 4 แสนล้านบาท สำหรับสร้างความเข้มแข็งในกับเศรษฐกิจชุมชน ซึ่งต้องทำให้มีประสิทธิภาพทั้งความรวดเร็วในการเบิกจ่าย และประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
“สิ่งสำคัญตอนนี้อยากเห็นการจ้างงานเป็น“ล้านตำแหน่ง” เพราะมีคนตกงานเยอะ ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งทำเรื่องการจ้างงาน ถ้าให้คิดแบบเร็วๆ ก็สามารถทำได้ในลักษณะเกาะภูมิสังคมต่างจังหวัด เช่น การหาตำแหน่งงานที่เหมาะสมสำหรับหมู่บ้าน 1 ตำแหน่ง ก็สามารถจ้างงานได้ 7 หมื่นตำแหน่งทั่วประเทศ เช่น อาสาสมัครเพื่อดูแลผู้สูงอายุประจำหมู่บ้านยังไงก็ขาด หรือในส่วนของการพัฒนา “กองทุนหมู่บ้าน” จ้างงานเด็กอาชีวะจบใหม่ ทำเรื่องระบบบัญชี ทำระบบคอมพิวเตอร์กองทุนหมู่บ้านให้ดีทั่วประเทศก็ได้อีก 7 หมื่นตำแหน่ง โรงพยาบาลตำบลโรงพยาบาลสุขภาพตำบล ก็ต้องการคนไปช่วยเรื่องทำระบบฐานข้อมูล ถ้าทำระดับตำบลก็จะมีการจ้างงานทั่วประเทศทันที 8,000 ตำแหน่ง ถ้าทำระดับหมู่บ้านก็ได้ 7 หมื่นตำแหน่ง แม้แต่เรื่องข้อเกษตร การทำสำมโนฯ ระดับท้องถิ่นก็จะช่วยได้ เพราะฐานข้อมูลระดับท้องถิ่นของประเทศไทยยังขาดมาก หรืออินเตอร์เนตหมู่บ้าน 5G กำลังจะมา ถามว่าใครจะไปเป็นที่ปรึกษาทางด้านดิจิทัลระดับหมู่บ้านที่ทำให้คนสามารถมาใช้พวกนี้อย่างมีประสิทธิภาพนี่ก็ได้อีก 7 หมื่นตำแหน่ง เพราะวิกฤติครั้งนี้ทำให้เกิดการว่างงาน ก็ต้องมีการปรับทักษะของประชากร” ผู้ว่าฯแบงก์ชาติกล่าว
พูดกันตามตรงตอนนี้เม็ดเงินที่รัฐบาลมีเหลือที่จะใช้ประคับประคองเศรษฐกิจไทยได้มีแค่ 4 แสนล้านบาท (จาก พ.ร.ก.เงินกู้) เท่านั้น ซึ่งดูเหมือนว่าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) จะเป็นหน่วยงานหลักที่คัดกรองว่าจะใช้เงินก้อนนี้อย่างไร กับโครงการใดบ้าง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้ให้การบ้านไปให้แต่ละกระทรวงเขียนโครงการเสนอขึ้นมา ตามกรอบที่ สภาพัฒน์ ได้กำหนดออกมา4 กรอบ ประกอบด้วย 1.กรอบการลงทุน หรือกิจกรรมการพัฒนา ที่สามารถพลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเน้น 2 จุดขายของเศรษฐกิจไทย คือ ระบบสาธารณสุข เพื่อจูงใจให้คนไทยมาเที่ยวเมืองไทยในเชิงสุขภาพท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ในลักษณะ “ไทยเที่ยวไทย” รวมถึงเรื่องการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร 2.การฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชน หรือฐานรากจากเดิม ที่ต้องพึ่งพาการส่งออกและไม่มีความยั่งยืนให้แข็งแรงมากขึ้น ผ่านกระบวนการส่งเสริมตลาดและการเข้าถึงช่องทางการตลาด 3.“กระตุ้นการบริโภค” ที่ทำได้ก่อนคือ “ไทยเที่ยวไทย” 4.โครงสร้างพื้นฐาน ที่ไม่ใช่โครงการขนาดใหญ่ตามปกติ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของชุมชน เพื่อตอบโจทย์ของชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก
การจ่ายเงินเยียวยาแบบให้เปล่า กำลังจะเดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายภายในอีก 1 เดือน กระสุนนัดสุดท้ายที่เหลืออีก 4 แสนล้านบาท ถ้าใช้แบบลวกๆ เอาเร็วเข้ามาว่า ซ้ำทำให้เกิดจุดรั่วไหล ก็จะไม่ทำให้เกิดกระบวนการฟื้นฟูเศรษฐกิจได้เลย และเมื่อถึงเวลานั้นรัฐบาลจะไม่เหลือตัวช่วยอะไรอีกแล้ว เมื่อประชาชนคนไทยอยู่อย่างยากลำบาก รัฐบาลก็ไม่อาจจะอยู่ได้เช่นกัน
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี