วันอาทิตย์ ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
nn ต้องยอมรับว่าทั้งโลกต้องเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 ไปตลอดปีนี้...สำหรับประเทศไทยก็เช่นกันแม้ว่าในด้านสาธารณสุขสถานการณ์จะดูดีกว่าหลายประเทศทั่วโลก แต่ด้านเศรษฐกิจนั้นได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเหมือนกันกับทุกประเทศทั่วโลก และคาดว่าจะอยู่สภาวะซบเซาไปตลอดปีนี้
ทั้งนี้ ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยล่าสุด (ตัวเลขในเดือนเมษายน) จากทุกสำนักวิชาการด้านเศรษฐกิจระบุตรงกันว่า เครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกตัวดับลง โดยการท่องเที่ยวนั้น ติดลบ 100% เนื่องจากไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศจากมาตรการปิดประเทศของไทยและเกือบทุกประเทศทั่วโลก...ส่วนการส่งออกนั้น (เครื่องยนต์ใหญ่สุด) ติดลบกว่า 10%เนื่องจากความต้องการของประเทศคู่ค้าที่ลดลง ซึ่งเห็นชัดเจนที่สุด คือ กลุ่มยานยนต์ ที่ติดลบมากที่สุดขณะที่การบริโภคของภาคเอกชน ก็ติดลบ 15.1%ด้วยเหตุที่มีประชาชนหลายล้านคนต้องตกงาน ส่วนการลงทุนภาคเอกชน ก็ติดลบ 6.1% ซึ่งเป็นไปตามภาพรวมเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ทำให้เอกชนไม่กล้าลงทุน ขณะที่ความต้องการภายในและต่างประเทศลดลง ส่งผลให้ภาคการผลิต ก็ติดลบ 17.2% สุดท้ายรายได้ภาคเกษตรที่ลดลงจากผลกระทบภัยแล้ง
ณ ตอนนี้เครื่องยนต์ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมีเหลือเพียงตัวเดียวเท่านั้นคือ การใช้จ่ายของภาครัฐไม่ว่าจะเป็นรายจ่ายประจำ (เงินเดือนข้าราชการ จัดซื้อวัสดุภัณฑ์) รายจ่ายลงทุน (ตามกรอบงบประมาณ) รายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งเงินโอนในโครงการเราไม่ทิ้งกัน (ประมาณ 6 แสนล้านบาท)
เหตุที่บอกว่าเศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะซบเซาไปตลอดปีนี้ เนื่องจากเครื่องยนต์ตัวหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ทั้งการส่งออก ท่องเที่ยว การลงทุนภาคเอกชน ล้วนต้องพึ่งพาปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจโลกและด้วยภาพรวมของเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางแรงกดดัน...การระบาดของโควิด-19 สงครามการค้าจีนกับสหรัฐ ระลอก 2...เหตุการณ์ภายในของสหรัฐเอง...ก็หมดโอกาสที่จะหวังว่าเป็นปัจจัยบวกสำหรับ การส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุน ของไทยได้
ถึงนาทีก็ต้องบอกได้คำเดียวว่าต้องพึ่งตัวเอง ต้องพึ่งเศรษฐกิจในประเทศ แน่นอนว่าคงไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจกับมาเฟื่องฟูหรือเติบโตได้ แต่เป็นการประคองให้ไม่ทรุดหนักไปกว่านี้ไม่ทำให้ล้มไปมากกว่านี้...ซึ่งประเด็นที่น่าห่วงที่สุดตอนนี้คือ ภาวะการว่างงาน โดยในเดือนเมษายน เฉพาะผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม มีจำนวนผู้ขอรับสิทธิ์ว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคมที่ 170,144 ราย เป็น 215,652 รายในเดือนเมษายน และเป็นการถูกเลิกจ้างถึง 16% ส่วนสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 445 แห่ง เป็น 2,406 แห่ง ในเดือนเมษายน และเมื่อรวมกับแรงงานในอาชีพอิสระและแรงงานที่อยู่ในธุรกิจ ที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว อัตราการว่างงานของประเทศจะแตะอยู่ในระดับ 7-10 ล้านคนเลยทีเดียว
หมุนตามทุน...ขอสนับสนุนแนวคิดของ ท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คุณวิรไท สันติประภพ...ที่กล่าวไว้ว่าวิกฤติโควิด-19 มีผลกระทบไปทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย การรับมือปัญหาทางเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 “มาตรการทางการคลัง” ต้องเป็นพระเอก เพราะวิกฤติโควิด-19 ทำให้คนหลายสิบล้านคนรายได้หายไป ดังนั้นต้องเติมรายได้เข้าไป ขณะที่มาตรการทางการเงินเป็นมาตรการเสริมมาตรการที่ประคอง รัฐบาลออก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ได้จัดสรรเงิน6 แสนล้าน สำหรับการเยียวยาประชาชนไปแล้ว เหลืออีก 4 แสนล้านบาท สำหรับสร้างความเข้มแข็งในกับเศรษฐกิจชุมชน ซึ่งต้องทำให้มีประสิทธิภาพทั้งความรวดเร็วในการเบิกจ่าย และประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
“สิ่งสำคัญตอนนี้อยากเห็นการจ้างงานเป็น“ล้านตำแหน่ง” เพราะมีคนตกงานเยอะ ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งทำเรื่องการจ้างงาน ถ้าให้คิดแบบเร็วๆ ก็สามารถทำได้ในลักษณะเกาะภูมิสังคมต่างจังหวัด เช่น การหาตำแหน่งงานที่เหมาะสมสำหรับหมู่บ้าน 1 ตำแหน่ง ก็สามารถจ้างงานได้ 7 หมื่นตำแหน่งทั่วประเทศ เช่น อาสาสมัครเพื่อดูแลผู้สูงอายุประจำหมู่บ้านยังไงก็ขาด หรือในส่วนของการพัฒนา “กองทุนหมู่บ้าน” จ้างงานเด็กอาชีวะจบใหม่ ทำเรื่องระบบบัญชี ทำระบบคอมพิวเตอร์กองทุนหมู่บ้านให้ดีทั่วประเทศก็ได้อีก 7 หมื่นตำแหน่ง โรงพยาบาลตำบลโรงพยาบาลสุขภาพตำบล ก็ต้องการคนไปช่วยเรื่องทำระบบฐานข้อมูล ถ้าทำระดับตำบลก็จะมีการจ้างงานทั่วประเทศทันที 8,000 ตำแหน่ง ถ้าทำระดับหมู่บ้านก็ได้ 7 หมื่นตำแหน่ง แม้แต่เรื่องข้อเกษตร การทำสำมโนฯ ระดับท้องถิ่นก็จะช่วยได้ เพราะฐานข้อมูลระดับท้องถิ่นของประเทศไทยยังขาดมาก หรืออินเตอร์เนตหมู่บ้าน 5G กำลังจะมา ถามว่าใครจะไปเป็นที่ปรึกษาทางด้านดิจิทัลระดับหมู่บ้านที่ทำให้คนสามารถมาใช้พวกนี้อย่างมีประสิทธิภาพนี่ก็ได้อีก 7 หมื่นตำแหน่ง เพราะวิกฤติครั้งนี้ทำให้เกิดการว่างงาน ก็ต้องมีการปรับทักษะของประชากร” ผู้ว่าฯแบงก์ชาติกล่าว
พูดกันตามตรงตอนนี้เม็ดเงินที่รัฐบาลมีเหลือที่จะใช้ประคับประคองเศรษฐกิจไทยได้มีแค่ 4 แสนล้านบาท (จาก พ.ร.ก.เงินกู้) เท่านั้น ซึ่งดูเหมือนว่าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) จะเป็นหน่วยงานหลักที่คัดกรองว่าจะใช้เงินก้อนนี้อย่างไร กับโครงการใดบ้าง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้ให้การบ้านไปให้แต่ละกระทรวงเขียนโครงการเสนอขึ้นมา ตามกรอบที่ สภาพัฒน์ ได้กำหนดออกมา4 กรอบ ประกอบด้วย 1.กรอบการลงทุน หรือกิจกรรมการพัฒนา ที่สามารถพลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเน้น 2 จุดขายของเศรษฐกิจไทย คือ ระบบสาธารณสุข เพื่อจูงใจให้คนไทยมาเที่ยวเมืองไทยในเชิงสุขภาพท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ในลักษณะ “ไทยเที่ยวไทย” รวมถึงเรื่องการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร 2.การฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชน หรือฐานรากจากเดิม ที่ต้องพึ่งพาการส่งออกและไม่มีความยั่งยืนให้แข็งแรงมากขึ้น ผ่านกระบวนการส่งเสริมตลาดและการเข้าถึงช่องทางการตลาด 3.“กระตุ้นการบริโภค” ที่ทำได้ก่อนคือ “ไทยเที่ยวไทย” 4.โครงสร้างพื้นฐาน ที่ไม่ใช่โครงการขนาดใหญ่ตามปกติ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของชุมชน เพื่อตอบโจทย์ของชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก
การจ่ายเงินเยียวยาแบบให้เปล่า กำลังจะเดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายภายในอีก 1 เดือน กระสุนนัดสุดท้ายที่เหลืออีก 4 แสนล้านบาท ถ้าใช้แบบลวกๆ เอาเร็วเข้ามาว่า ซ้ำทำให้เกิดจุดรั่วไหล ก็จะไม่ทำให้เกิดกระบวนการฟื้นฟูเศรษฐกิจได้เลย และเมื่อถึงเวลานั้นรัฐบาลจะไม่เหลือตัวช่วยอะไรอีกแล้ว เมื่อประชาชนคนไทยอยู่อย่างยากลำบาก รัฐบาลก็ไม่อาจจะอยู่ได้เช่นกัน
กระบองเพชร

'อ.เจษฎ์'มาเอง! เปิด7ข้อเคลียร์ความเชื่อผิดๆปมดื่มนมไทย เปิดวาร์ปนมไทยที่เป็นนมโคแท้
'ปราชญ์ สามสี'ฟาด! 'พรรคส้ม' ใช้ 'สองมาตรฐาน' โจมตีกองทัพ แต่ปัดรับผิดคดีในพรรค
ผีตายยาก!เดอ ลิกต์ โขกทดเจ็บบุกแบ่งแต้มไก่
'กัน จอมพลัง' ควงลูกเมียเปิดใจน้ำตาซึม เผยความผิดพลาด เอาเวลาครอบครัวไปช่วยคนอื่น
'กัมพูชา'ขยับแรง! บุกทลาย2รังใหญ่แก๊งสแกมเมอร์ รวบผู้ต้องหากว่า600คนส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี