ll ไม่น่าเชื่อเลย...ไวรัสโควิด-19 ตัวเล็กๆ ขนาดว่ามองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าจะร้ายกาจขนาดนี้ สร้างความเสียหายทั้งชีวิตคนและเศรษฐกิจไปทั่วโลก...วันก่อนธนาคารโลกได้ออกมาประเมินผลกระทบจากโควิด-19 จะทำเศรษฐกิจโลกติดลบถึง 5.5% ...และมีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกอีกหลายคนมองว่า เศรษฐกิจโลกอาจจะติดลบได้ถึง8-9% หากว่าการระบาดยังเลวร้ายขึ้นอีก...และด้วยเหตุการณ์ที่เกิดการระบาดขึ้นอีกครั้งในหลายประเทศ(ระลอก 2) ที่ก่อนหน้านี้ควบคุมการระบาดได้แล้วเช่น กรณีของประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ฯลฯ ก็คงไม่ใช่เรื่องเกินคาดที่จะบอกว่าเศรษฐกิจโลกทรุดตัวอย่างหนักหน่วงในรอบหลายร้อยปี
การที่เศรษฐกิจทรุดตัวอย่างหนักในวิกฤติรอบนี้ทำให้เกิด “กระแสทวนโลกาภิวัตน์” นั่นก็คือจากเดิมที่ทั้งโลกพยายามเร่งสร้างระบบการค้าเสรี การเคลื่อนย้ายการลงทุนไปทั่วโลกได้อย่างเสรี ถึง
ณ เวลานี้กลับกลายเป็นว่าแต่ละประเทศกลับพยายามพึ่งพิงเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก หลายประเทศส่งเสริมให้บริษัทขนาดใหญ่ของตัวเองที่กระจายการลงทุนไปในหลายประเทศ ย้ายฐานกลับประเทศเพื่อสร้างการจ้างงานในประเทศตัวเอง และเกือบทุกประเทศทั่วโลกต่างออกมาตรการทางภาษี และมาตรการที่ใช้ภาษี (NTB) เพื่อมาปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศตัวเอง ซึ่งก็เท่ากับว่าเป็นการซ้ำเติมภาวะการค้าโลกให้แย่ลงไปอีก
เห็นจะมีประเทศไทยประเทศเดียวแล้วกระมังที่ยังจะ “ทวนกระแสโลก” ในการพยายามที่จะปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศของตัวเองโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ และคณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้อง เปิดประตูอ้าซ่าให้เหล็กนำเข้าทะลักเข้ามาทุบตลาดในประเทศ ด้วยการทยอยยกเลิกมาตรการปกป้องหลายมาตรการ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) มาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) ของเหล็กหลายชนิด ทั้งเหล็กเส้น เหล็กลวด เหล็กอาบสังกะสี เหล็กรีดร้อนเจืออัลลอย และล่าสุด เหล็กแผ่นรีดร้อนไม่เจือชนิดม้วน (เหล็กดำ) และเชื่อว่าเหล็กอีกหลายๆ ชนิดจะตามมาอีก
ที่ “หมุนตามทุน” บอกว่า กระทรวงพาณิชย์ทวนกระแสโลก ก็เพราะว่าขณะนี้ไม่ว่าจะหันไปมองประเทศไหนที่มีอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศก็ล้วนแล้วแต่ทำตรงกันข้ามกับที่ประเทศไทยทำทั้งนั้น..อย่างเช่นกรณีของ สหรัฐอเมริกา ที่ต้องการปกป้องอุตสาหกรรมเหล็ก และอะลูมิเนียมในประเทศของตัวเอง เพราะตระหนักว่าเป็นสินค้าที่กระทบถึงความมั่นคงของชาติ จึงได้บังคับใช้มาตรการ Section 232 มาตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน เพราะสหรัฐมองว่า หากยังปล่อยให้มีการนำเข้าสินค้าเหล็ก และอะลูมิเนียมในปริมาณมากต่อไปจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติได้ รวมถึงต้องการขับเคลื่อนให้มีการใช้อัตรากำลังการผลิตในอุตสาหกรรมเหล็กให้ถึง 80% ด้วยมาตรการสนับสนุนต่างๆ มาจากของรัฐบาลสหรัฐ และเนื่องจากมาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการของสหรัฐอเมริกาเอง ไม่ใช่กฎหมายภายใต้ความตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) ส่งผลให้ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวดำเนินการตอบโต้มาตรการของสหรัฐอเมริกาในวงกว้าง รวมถึงกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศเพื่อไม่ให้สินค้าเหล็กที่ไม่สามารถเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้หันมาไหลทะลักเข้าสู่ประเทศของตนเอง เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา ฯลฯ
ส่วนสหภาพยุโรป ได้ดำเนินการเปิดไต่สวนมาตรการ Safeguard สินค้าเหล็กถึง 26 รายการ เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2561 และมีการเพิ่มอีก 2 รายการในภายหลัง (รวมเป็น 28 รายการสินค้า)
โดยเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2561 (ใช้เวลาประมาณ 4 เดือน)สหภาพยุโรปได้มีการประกาศบังคับใช้มาตรการปกป้องชั่วคราว 200 วัน กับสินค้าเหล็ก 23 รายการ(รวมถึงสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนด้วย) และล่าสุดจะมีผลชั้นที่สุดให้บังคับใช้ในวันที่ 4 ก.พ. 2562 นี้โดยมีผลกระทบต่อสินค้าเหล็กของไทยบางรายการด้วยขณะที่ประเทศแคนาดา ใช้มาตรการ Safeguard สำหรับสินค้า เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดแผ่นหนา และลวดเหล็กไร้สนิม โดยมีผลบังคับใช้ 13 พ.ค. 2562และยังมีอีกหลายประเทศที่ประกาศใช้มาตรการปกป้องยาวนาน 8-10 ปี เช่น ฟิลิปปินส์ บราซิล ตุรกี ยูเครน
ในช่วงที่การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกยังรุนแรงและไม่มีทีท่าว่าจะยุติได้ภายใน 1-2 ปีนี้แน่นอนว่าจะส่งผลให้ปริมาณความต้องการใช้ของโลกลดลงโดยเฉพาะความต้องการใช้ของประเทศจีนทั้งในภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง ซึ่งสวนทางกับปริมาณการผลิตเหล็กในประเทศจีนเองส่งผลให้มีปริมาณการ Inventory สูงขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ และพร้อมที่จะส่งออกหลังจากที่ระบบ Logistic มีความพร้อม ดังนั้นหากประเทศใดไม่มีมาตรการคุ้มครองอุตสาหกรรมที่เข้มแข็งพอย่อมตกเป็นเป้าหมายในการส่งออกของจีน และประเทศอื่นๆ อย่างแน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงอีกไม่นานอุตสาหกรรมในประเทศ คงจะต้องปิดกิจการลง เมื่อเหล็กจีนและจากชาติอื่น สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างได้ทั้งหมดหรือประมาณ 80% ของการจำหน่ายของอุตสาหกรรมภายในส่งผลให้เกิด NPL กับธนาคารเจ้าหนี้, เจ้าหนี้เงินกู้และเจ้าหนี้การค้า เป็นมูลค่ามหาศาลกว่า 70,000 ล้านบาท ภาวะอย่างนี้ “หมุนตามทุน” คิดไม่ออกมาว่าถ้ากระทรวงพาณิชย์จะไม่คิดจะปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศตอนนี้แล้วจะไปปกป้องเอาตอนไหน
ปล.พรุ่งนี้ใน “โลกการค้า” มาเล่าให้ฟังว่าวิธีคิดของกระทรวงพาณิชย์มันสมเหตุสมผลกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทยหรือไม่....
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี