nn ขณะนี้ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว โดย คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง...ได้กล่าวไว้หลายครั้งว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 ยังฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยประมาณการว่า GDP ปีนี้ยังจะติดลบราว 6% โดยได้แรงหนุนจากกำลังซื้อจากภาครัฐอย่างเช่น เม็ดเงินจากมาตรการเยียวยาเพื่อลดผลกระทบจากโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา และเม็ดเงินจากมาตรการเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท, เราเที่ยวด้วยกัน, คนละครึ่ง, ช้อปดีมีคืน
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าวิกฤติครั้งนี้กระทบต่อเศรษฐกิจไทยด้านการท่องเที่ยวที่มีสัดส่วน 12% ของ GDP และกระทบจากฐานรากขึ้นสู่รายใหญ่ รวมถึงซัพพลายเชนของไทย และกว่าที่เศรษฐกิจไทยจะกลับมายืนอยู่ในจุดเดิมก่อนเกิดระบาดของโควิด-19 ได้ก็ต้องใช้เวลากว่า 2 ปี ดังนั้นในช่วง 12 ปีนี้ กระทรวงการคลังจึงต้องเตรียมความพร้อมที่จะเข้ามาเป็นแม่งานหลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงปี 2564 ด้วยเม็ดเงินงบประมาณ 2564 ที่มีกรอบวงเงินที่ 3.3 ล้านล้านบาท รวมถึงวงเงินนอกเหนือจากรายจ่ายประจำและลงทุนเพื่อจัดสรรในการกระตุ้นเศรษฐกิจปีหน้าอีกราว 30% (ราว 9.8 แสนล้านบาท) และเม็ดเงินจากพระราชกำหนดเงินกู้ 4 แสนล้านบาท ที่ปัจจุบันมีการอนุมัติเพียง 1.2 แสนล้านบาทเท่านั้น
ด้วยภาวการณ์เช่นนี้จึงจะเห็นว่าใน 2564-2565 ทางรัฐบาลจะมุ่งเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาแล้วเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา เช่น รถไฟฟ้าความเร็วสูงและรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ การลงทุนภาคพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งจะล้อไปกับGreen Investment รถยนต์ไฟฟ้า (EV) การพัฒนาเฮลท์แคร์ของไทย รวมถึงการใช้ดิจิทัลกับทุกธุรกิจ และนอกจากนอกการลงทุนโดยตรงของรัฐบบาลแล้ว ก็จะยังต้องมีการลงทุนของภาครัฐในรูปแบบที่ไม่เป็นภาระของภาครัฐมากเกินไป เช่น โครงการร่วมทุนกับเอกชน PPP ซึ่งลดภาระภาครัฐและให้ส่วนแบ่งกับเอกชนมากขึ้น เช่น ทางด่วน, ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ ฯลฯ
อีกประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญคือการลงทุนของภาครัฐจะต้องเดินหน้าได้ตามแผนไม่มีอาการสะดุด เพราะลำพังการลงทุนภาครับทำได้แค่ประคองอาการของเศรษฐกิจไทยเท่านั้น จึงต้องให้เอกชนลงทุนด้วยเหมือนกันจึงจะส่งผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยมากกว่านี้ ซึ่งจากข้อมูลของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.)...พบว่าผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2563 อยู่ที่ระดับ 86.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 85.2 ในเดือนกันยายน 2563 โดยค่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าคงทน ส่งผลให้ภาคการผลิตมีการฟื้นตัวตามอุปสงค์ในประเทศ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐอย่างต่อเนื่องส่งผลดีต่อความต้องการใช้สินค้าวัสดุก่อสร้าง
อย่างไรก็ตาม ดัชนีความชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 91.9 จากระดับ 93.3 ในเดือนกันยายน 2563 โดยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูงเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยกดดันต่อการฟื้นตัวของภาคการส่งออกของไทย ขณะที่การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลต่อรายได้ของผู้ประกอบการส่งออกลดลง ตลอดจนความกังวลเกี่ยวกับภาระดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นภายหลังการสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้ ซึ่งอาจทำให้กิจการประสบปัญหาขาดสภาพคล่องโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs
ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการคือ 1.ขอให้ภาครัฐรักษามาตรฐานการควบคุมโควิด-19 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน 2.ขอให้ภาครัฐเร่งรัดการจ่ายเงินการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐทุกโครงการภายใน 30 วันหลังจากการตรวจรับเรียบร้อยเพื่อช่วยในการเสริมสภาพคล่องทางการเงินภาคเอกชน และ 3. เร่งผลักดันโครงการลงทุนและโครงการก่อสร้างของภาครัฐทุกโครงการที่ได้วางแผนไว้เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพื่อให้ภาคเอกชนกลับมาเดินหน้าขยายการลงทุนอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้เศรษฐกิจไทยหายป่วยได้เร็วขึ้น
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี