วันศุกร์ ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568
nn ขณะนี้ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว โดย คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง...ได้กล่าวไว้หลายครั้งว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 ยังฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยประมาณการว่า GDP ปีนี้ยังจะติดลบราว 6% โดยได้แรงหนุนจากกำลังซื้อจากภาครัฐอย่างเช่น เม็ดเงินจากมาตรการเยียวยาเพื่อลดผลกระทบจากโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา และเม็ดเงินจากมาตรการเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท, เราเที่ยวด้วยกัน, คนละครึ่ง, ช้อปดีมีคืน
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าวิกฤติครั้งนี้กระทบต่อเศรษฐกิจไทยด้านการท่องเที่ยวที่มีสัดส่วน 12% ของ GDP และกระทบจากฐานรากขึ้นสู่รายใหญ่ รวมถึงซัพพลายเชนของไทย และกว่าที่เศรษฐกิจไทยจะกลับมายืนอยู่ในจุดเดิมก่อนเกิดระบาดของโควิด-19 ได้ก็ต้องใช้เวลากว่า 2 ปี ดังนั้นในช่วง 12 ปีนี้ กระทรวงการคลังจึงต้องเตรียมความพร้อมที่จะเข้ามาเป็นแม่งานหลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงปี 2564 ด้วยเม็ดเงินงบประมาณ 2564 ที่มีกรอบวงเงินที่ 3.3 ล้านล้านบาท รวมถึงวงเงินนอกเหนือจากรายจ่ายประจำและลงทุนเพื่อจัดสรรในการกระตุ้นเศรษฐกิจปีหน้าอีกราว 30% (ราว 9.8 แสนล้านบาท) และเม็ดเงินจากพระราชกำหนดเงินกู้ 4 แสนล้านบาท ที่ปัจจุบันมีการอนุมัติเพียง 1.2 แสนล้านบาทเท่านั้น
ด้วยภาวการณ์เช่นนี้จึงจะเห็นว่าใน 2564-2565 ทางรัฐบาลจะมุ่งเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาแล้วเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา เช่น รถไฟฟ้าความเร็วสูงและรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ การลงทุนภาคพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งจะล้อไปกับGreen Investment รถยนต์ไฟฟ้า (EV) การพัฒนาเฮลท์แคร์ของไทย รวมถึงการใช้ดิจิทัลกับทุกธุรกิจ และนอกจากนอกการลงทุนโดยตรงของรัฐบบาลแล้ว ก็จะยังต้องมีการลงทุนของภาครัฐในรูปแบบที่ไม่เป็นภาระของภาครัฐมากเกินไป เช่น โครงการร่วมทุนกับเอกชน PPP ซึ่งลดภาระภาครัฐและให้ส่วนแบ่งกับเอกชนมากขึ้น เช่น ทางด่วน, ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ ฯลฯ
อีกประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญคือการลงทุนของภาครัฐจะต้องเดินหน้าได้ตามแผนไม่มีอาการสะดุด เพราะลำพังการลงทุนภาครับทำได้แค่ประคองอาการของเศรษฐกิจไทยเท่านั้น จึงต้องให้เอกชนลงทุนด้วยเหมือนกันจึงจะส่งผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยมากกว่านี้ ซึ่งจากข้อมูลของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.)...พบว่าผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2563 อยู่ที่ระดับ 86.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 85.2 ในเดือนกันยายน 2563 โดยค่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าคงทน ส่งผลให้ภาคการผลิตมีการฟื้นตัวตามอุปสงค์ในประเทศ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐอย่างต่อเนื่องส่งผลดีต่อความต้องการใช้สินค้าวัสดุก่อสร้าง
อย่างไรก็ตาม ดัชนีความชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 91.9 จากระดับ 93.3 ในเดือนกันยายน 2563 โดยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูงเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยกดดันต่อการฟื้นตัวของภาคการส่งออกของไทย ขณะที่การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลต่อรายได้ของผู้ประกอบการส่งออกลดลง ตลอดจนความกังวลเกี่ยวกับภาระดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นภายหลังการสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้ ซึ่งอาจทำให้กิจการประสบปัญหาขาดสภาพคล่องโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs
ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการคือ 1.ขอให้ภาครัฐรักษามาตรฐานการควบคุมโควิด-19 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน 2.ขอให้ภาครัฐเร่งรัดการจ่ายเงินการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐทุกโครงการภายใน 30 วันหลังจากการตรวจรับเรียบร้อยเพื่อช่วยในการเสริมสภาพคล่องทางการเงินภาคเอกชน และ 3. เร่งผลักดันโครงการลงทุนและโครงการก่อสร้างของภาครัฐทุกโครงการที่ได้วางแผนไว้เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพื่อให้ภาคเอกชนกลับมาเดินหน้าขยายการลงทุนอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้เศรษฐกิจไทยหายป่วยได้เร็วขึ้น
กระบองเพชร

ปชป. ร่อนแถลงการณ์ ซัด พรรคส้ม ออกลูกงอแงหวังประโยชน์แก้ รธน. ยอมเอา ‘อธิปไตยชาติ’ มาเสี่ยง
ยุบสภา อนุทิน ยันแล้ว คืนอำนาจให้ประชาชน
คอนเฟิร์ม! นายกฯอนุทิน ยื่นยุบสภาแล้ว เผยต่อรอง ปชน. ชี้ สั่ง สว.ไม่ได้ ไม่โหวตตัดอำนาจ
สะพัด อนุทิน ยื่นยุบสภาคาไว้แล้ว ตั้งแต่เย็นวันนี้ ตัดหน้า ‘ปชน.’ ล่าชื่อซักฟอกรัฐบาล
สื่อนอกตีข่าว เหตุปะทะเดือดชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือน2ประเทศอพยพแล้วครึ่งล้านคน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี