nn กรณีที่สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การประปาส่วนภูมิภาค (สร.กปภ.) ออกโรงคัดค้านกรณีที่การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เตรียมขยายสัญญาให้สิทธิดำเนินการผลิตและจำหน่ายน้ำประปากับ บริษัท ประปาปทุมธานี จำกัด บริษัทในเครือผู้รับเหมารายใหญ่ ออกไปอีก 20 ปี จากสัญญาเดิมที่จะสิ้นสุดลงในปี 2566 ว่า แม้สหภาพฯจะยื่นหนังสือร้องเรียนไปทุกหน่วยงานให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว ตั้งแต่คณะกรรมการป.ป.ช., สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาผู้แทนฯ และล่าสุดได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งยุติกระบวนการต่อขยายสัญญาเอาไว้ แต่ยังไม่มีความคืบหน้า
ทั้งนี้ กปภ.ได้ทำสัญญาให้สิทธิผลิตและจำหน่ายประปาในพื้นที่ปทุมธานี-รังสิต กับบริษัท ประปาปทุมธานี จำกัด เมื่อปี 2538ในปริมาณไม่เกิน 288,000 ลบ.ม./วัน กำหนดอัตรารับซื้อน้ำ 7.50 บาท และปรับเพิ่มขึ้นทุกปีตามดัชนีเงินฟ้อ (CPI) เป็นสัญญาสร้าง-บริหาร และโอน (Built OwnOperate-Transfer : BOOT) อายุสัญญารวม 25 ปี จะสิ้นสุดสัญญาในปี 2566(14 ต.ค. 2566) โดยเมื่อสิ้นสุดสัญญาทรัพย์สินและเครื่องมือทั้งหมดจะต้องตกเป็นของรัฐ ก่อนมีการแก้ไขสัญญาอีก 2-3 ครั้ง โดยปรับเพิ่มปริมาณการผลิตและจำหน่ายประปาขึ้นจากสัญญาเดิมอีกไม่ต่ำกว่า 70,000 ลบ.ม. รวมเป็นไม่น้อยกว่า 3.58 แสน ลบ.ม./วัน โดยปัจจุบันบริษัททำการผลิตและจำหน่ายประปาให้ กปภ. 400,000 ลบ.ม./วัน ในราคาเฉลี่ย 12.50 บาท/ลบ.ม.
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ บอร์ดกปภ.ที่มี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยและประธานบอร์ดกปภ. มีนโยบาย
ชัดเจนที่จะให้กปภ.ดำเนินโครงการผลิตและจัดหาน้ำประปาเองภายหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในปี’66 ตามมติบอร์ด กปภ.เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2562 และโดยมีการตั้งคณะทำงานขึ้นศึกษาแนวทางการดำเนินกิจการภายหลังสัญญาโครงการเอกชนร่วมลงทุนในกิจการประปาปทุมธานี-รังสิต สิ้นสุดลง แต่เมื่อมีการปรับเปลี่ยนบอร์ด กปภ.ในปี 2564 กปภ.กลับเปลี่ยนแนวนโยบายใหม่ โดย กปภ.รับข้อเสนอของบริษัทเอกชนคู่สัญญาที่ทำเรื่องขอขยายสัญญาสัมปทานจากเดิมที่จะสิ้นสุดในปี 2566 ออกไปอีก 20 ปี โดยอ้างเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล
“เรื่องนี้สร้างความงุนงงให้กับพนักงานกปภ.อย่างมาก เพราะเป็นการกลับลำจากหน้ามือเป็นหลังมือและขัดแย้งกับมติบอร์ด กปภ.เดิมโดยสิ้นเชิง เหตุนี้เมื่อมีความพยายามจะนำเรื่องต่อขยายสัญญาเข้าบอร์ด กปภ.เมื่อปลายเดือน ก.ย. 2564 ฝ่ายยุทธศาสตร์ของ กฟภ.ถึงกับจัดทำรายงานทักท้วงบอร์ด กปภ. โดยยืนยันไม่เห็นด้วยกับแนวทางขยายสัญญาสัมปทานดังกล่าว เพราะขัดแย้งกฎหมาย (พ.ร.บ.การร่วมลงทุนฯปี 2562) รวมทั้งขัดแย้งกับมติบอร์ด กปภ.ก่อนหน้า ทั้งยังเป็นการดำเนินการเอื้อประโยชน์แก่เอกชนเพียงรายเดียว แต่ก็ไม่สามารถจะทัดทาน ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า บอร์ดกปภ.ได้อนุมัติการต่อขยายสัญญาสัมปทานดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2564 แล้วโดยมีการเผยแพร่เอกสารสัญญาแก้ไขฉบับใหม่ไปทั่วองค์กร กปภ. และ ก.มหาดไทย”
เหตุที่ทำให้คน กปภ.ส่วนใหญ่ มองว่าความพยายามต่อขยายสัญญาสัมปทานผลิตและจำหน่ายประปาดังกล่าว น่าจะเป็นเรื่องไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะสัมปทานเดิมที่จะสิ้นสุดลงในปี’66 นั้น บรรดาเครื่องจักรและทรัพย์สินในโครงการทั้งหมดจะต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐอยู่แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ กปภ.ได้เตรียมแผนรองรับการดำเนินกิจการประปาเองไว้แล้ว แต่จู่ๆ กลับมีใบสั่งการเมืองล้มแผนดังกล่าว เพื่อจะให้ต่อสัญญาสัมปทานให้กับรายเดิม ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติวิสัย และส่อเอื้อผลประโยชน์ให้แก่เอกชนอย่างชัดเจน ทั้งยังเป็นการดำเนินการที่ขัดแย้งกับบทบัญญัติกฎหมายตาม พ.ร.บ.ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนปี 2562 ด้วย เพราะหาก กปภ.จะเปิดให้เอกชนเข้ามาดำเนินโครงการก็ต้องเปิดประมูลเป็นการทั่วไปตาม พ.ร.บ.ร่วมลงทุน(พีพีพี)ปี 2562 และยังต้องดำเนินการตามมติ ครม.เมื่อ29 มิ.ย.2564 ในเรื่องข้อตกลงคุณธรรม เพื่อป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอีกด้วย
มีการคำนวณตัวเลขเบื้องต้นว่าหากมีการต่อขยายสัญญาออกไป 20 ปี เฉพาะวงเงินกำไรจากส่วนต่างการขายน้ำที่ กปภ.จะดำเนินการเองกับที่กำหนดในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมหน่วยละ 10.15 บาทขึ้นไปตามดัชนี CPI นั้น จะมีส่วนต่างกำไรเกิดขึ้นตลอด 20 ปีมากกว่า 14,000 ล้านบาท ซึ่งกำไรส่วนนี้ไม่ได้ตกอยู่กับรัฐหรือประชาชน แต่ผลประโยชน์ก้อนโตนี้ จะตกอยู่ที่ใครเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามกันต่อไป
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี