nn ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยขณะนี้ฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึง (K-Shaped Recovery) ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกระแสเปิดบ้านเปิดเมืองเท่านั้นที่พอลืมตาอ้าปากได้แต่ในกลุ่มของภาคผลิตและภาคอุตสาหกรรมนั้นยังลำบาก...สะท้อนได้จาก ข้อมูลจากสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบว่าปี 2565 ความต้องการใช้เหล็กของประเทศไทยรวม 16.4 ล้านตัน ลดลงถึง -12.2% จากปี 2564 ที่ 18.7 ล้านตัน การใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) ของอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทย ปี 2565 เพียง 30.1%แย่ลงกว่าปี 2564 ซึ่งมีการใช้กำลังการผลิต 32.6% ที่ยกตัวอย่างข้อมูลนี้เพราะต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมเหล็กคืออุตสาหกรรมพื้นฐานและซัพพลายเชนของอีกหลายๆ อุตสาหกรรม และจากข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม...นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) วิเคราะห์ผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าต่อภาคอุตสาหกรรม โดยใช้ข้อมูลจากตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่าการขึ้นค่าไฟฟ้าที่อัตรา 5.33 บาท ต่อหน่วยในปี 2566 นี้ ส่งผลให้อุตสาหกรรมเหล็กได้รับผลกระทบหนักสุดเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 12.41%
ต้องบอกว่าหนักหนาจริงกับอุตสาหกรรมเหล็กของไทย ทั้งที่เป็นอุตสาหกรรมที่ลงทุนหลายแสนล้านบาท จ้างงานหลายแสนคน ซึ่งควรจะได้รับดูแลจากภาครัฐเหมือนกับอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก ในทางกลับกันสำหรับประเทศไทยภาครัฐนอกจากจะไม่ช่วยอุตสาหกรรมเหล็กแล้ว ยังจะคอยซ้ำเติมอีกต่างหาก
ทุกประเทศทั่วโลกปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กของเขาด้วยการบังคับใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและอุดหนุน (AD) อย่างเข้มข้นต่อเนื่องยาวนาน ขณะที่ไทยนั้นสวนทางกับโลก ด้วยการทยอยยกเลิกมาตรการ AD สำหรับสินค้าเหล็กหลายๆ ชนิด...อย่างกรณีล่าสุดที่คนในวงการเหล็กกำลังกังวลว่า อาจจะมีการประกาศยกเลิกมาตรการ AD สินค้าเหล็กแผ่นรีดเย็นชุบหรือเคลือบด้วยโลหะเจือของอะลูมิเนียมและสังกะสีแบบจุ่มร้อนที่มีแหล่งกำเนิดจากเวียดนาม (สินค้า GL)
ซึ่งก่อนหน้านี้มีผู้ผลิตในประเทศรายหนึ่งได้ร้องไปและคณะกรรมการ พิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน ก็ได้เปิดการไต่สวนและรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไปแล้ว และเตรียมที่จะสรุปผลส่งให้คณะกรรมการ พิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุนพิจารณาตัดสิน
แต่เรื่องของเรื่องที่ว่ากันวันนี้เพราะว่าสิ่งที่คณะกรรมการ AD ได้ดำเนินการไปนั้น คนในวงการเหล็กมองว่าเป็นการไต่สวนที่ไม่เป็นธรรมต่ออุตสาหกรรมในประเทศ...เพราะว่า มีผู้ผลิต/ส่งออกจากเวียดนามรวม 9 ราย แต่ให้ความร่วมมือตอบแบบสอบถามแค่ 2 ราย แต่กรมการค้าต่างประเทศ/คณะกรรมการ AD กลับเอามาเป็นตัวแทน ทั้งๆ ที่บริษัทอื่นๆ ที่ไม่ตอบอัตรา AD สูงสุด ถึง 40.49% ส่วนรายที่ตอบ เรทต่ำ 6-8% เท่านั้น กรณีแบบนี้ควรเข้ากระบวนการ review rate ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกทุกปีซึ่งกรณียุติมาตรการเท่ากับว่าผู้ส่งออกจากเวียดนามสามารถกลับมาทุ่มตลาดได้ในอัตราสูงถึง 40.49%
อย่างไรก็ตาม จากการชี้แจงโดยกระทรวงพาณิชย์เมื่อปี 2560 เรื่องการพิจารณาต่ออายุมาตรการ ADนั้นไม่จำเป็นต้องมีการทุ่มตลาด/ความเสียหายในปัจจุบัน (แต่การไต่สวนกลับไม่ทำตามที่ชี้แจง)เนื่องจากมีมาตรการในปัจจุบัน ความเสียหาย และการทุ่มตลาดย่อมลดลงอยู่แล้ว แต่ต้องดูแนวโน้มว่าจะกลับมาทุ่มตลาด และกลับมาสร้างความเสียหายหรือไม่ตามบทบัญญัติ และเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ มีหลักสำคัญในการพิจารณาต่ออายุคือ “การพิจารณาว่าหากยุติการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด จะทำให้มีการทุ่มตลาดต่อไป หรือทำให้การทุ่มตลาดฟื้นคืนมาอีก” โดยในกรณีนี้มีปัจจัยที่สามารถบ่งชี้ว่า การทุ่มตลาด/ความเสียหายจะกลับมาอย่างครบถ้วน คือ 1.1 มีการใช้มาตรการเยียวยาทางการค้าจากหลายประเทศเช่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย แคนาดากับสินค้าที่ถูกพิจารณา 1.2 เวียดนามยังมีศักยภาพด้านการส่งออกสูง โดยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 2ของโลก โดยมีสัดส่วนการส่งออกต่อการผลิตที่ 64%1.3 ผู้ส่งออกรายอื่นๆ ที่มีอัตราการทุ่มตลาดสูงในอัตรากว่า 40% ที่ไม่ให้ความร่วมมือตอบแบบสอบถาม ย่อมต้องกลับมาทุ่มตลาดแน่นอน
นอกจากนี้ การพิจารณาของกรมการค้าต่างประเทศ/คณะกรรมการ AD พิจารณาไต่สวนโดยไม่คำนึงถึงหลักกฎหมาย และความเป็นจริง เช่น ขณะที่มีการใช้มาตรการ ประเทศเวียดนามย่อมส่งออกสินค้าที่มีพฤติกรรมการทุ่มตลาดมาไม่ได้ กล่าวคือต้องเป็นสินค้าที่มีราคาที่เป็นธรรม (ไม่ต่ำกว่าที่ขายในประเทศเวียดนาม) ดังนั้นราคาสินค้านำเข้าย่อมสูงขึ้น หรือปริมาณการนำเข้าที่ลดต่ำลงจากการใช้มาตรการก็เป็นเรื่องปกติ ซึ่งทุกประเทศที่มีการใช้มาตรการก็เป็นเช่นนี้ แต่กรมการค้าต่างประเทศกลับเอามาเป็นประเด็นสำคัญในการยุติมาตรการ
กล่าวได้อีกว่าไม่แน่ใจว่ามีการตรวจสอบโดยหน่วยงานทางเทคนิคหรือยังว่าสินค้านำเข้าจากเวียดนามที่เอามาเปรียบเทียบราคา หรือการทุ่มตลาดเป็นสินค้าที่ถูกมาตรการหรือไม่เพราะราคาที่สูงๆ อาจจะเป็นสินค้าพิเศษ หรือสินค้าที่ได้รับการยกเว้นก็ได้ ซึ่งอาจจะตรวจสอบจากกรมศุลกากรได้ว่าถูกเรียกเก็บอากรหรือไม่ อีกทั้งถ้าเป็นสินค้าที่ถูกใช้ AD จริง หากไม่มีการทุ่มตลาดผู้ส่งออกย่อมต้องขอ review rateหรือขอคืนอากรอยู่แล้ว แต่เชื่อว่าไม่มีการดำเนินการ เนื่องจากคาดว่าเป็นสินค้าคนละประเภทกัน
ถึงตรงนี้ต้องบอกอย่างนี้ว่าหากยุติแล้วเกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมผู้ผลิตในประเทศ รวมถึง supply chain กระทรวงพาณิชย์/คณะกรรมการ AD จะรับผิดชอบได้อย่างไร เพราะกว่าจะสามารถขอใช้มาตรการได้อีกครั้งอุตสาหกรรมภายในประเทศต้องเสียหายเจียนตายกว่าอีก 2 ปี (รวมกระบวนการไต่สวน)
!! ประเด็นสุดท้าย...ผู้ผลิตเหล็กในประเทศต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า...ด้วยเหตุที่อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศมีเพื่อนสนิทที่เรียนร่วมกันใน วปอ. 63 ที่เป็นผู้นำเข้าเหล็กรายใหญ่ เลยอาจเข้าใจข้อมูลด้านเดียว ก็เลยมุ่งแต่จะส่งเสริมผู้นำเข้ามากกว่าการดูแลเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม และมีนโยบายเปิดเสรีโดยไม่สนใจเรื่องการค้าที่เป็นธรรม ซึ่งประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ EU ที่ส่งเสริมการค้าเสรีก็มีการใช้มาตรการ AD สินค้าเหล็กเป็นอันดับต้นๆ ของโลก กล่าวคือ ส่งเสริมการค้าเสรี แต่ไม่ส่งเสริมการค้าที่ไม่เป็นธรรม....!! ซึ่งดูจะแตกต่างกับวิธีคิดของราชการไทยเสียจริง
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี