ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาลุงทรัมป์ทำเรื่องน่าปวดหัวมากมาย ทั้งระดับโลกและระดับประเทศ ตั้งแต่ทำตัวเป็นนักเลงโตข่มขู่ชาวบ้านชาวช่องในองค์การสหประชาชาติเรื่องการรองรับเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล งานนี้ลุงแซมหน้าแตกยับเพราะอยากเอาใจยิวจนตัวสั่น แต่ไม่มีชาติไหนเห็นดีเห็นงามด้วย
เมื่อเรื่องเข้าที่ประชุมก็หน้าแตกแบบหมอไม่รับเย็บ พอลุงแซมไม่ได้ดังใจก็คำรามขู่ตามสันดานมาเฟียโลก เท่านั้นยังไม่พอ ลุงทรัมป์ยังก่อกรรมทำเข็ญต่อคนอเมริกันด้วยกฎหมายปฎิรูปภาษีที่พูดง่ายๆ ว่าเป็นกฎหมายอุ้มคนรวยกระทืบคนจนนั่นเอง เพราะคนที่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริงคือ ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรษัทข้ามชาติและอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งมหาเศรษฐีทั้งหลาย แม้จะอยากเขียนถึงลุงทรัมป์จนมือไม้สั่นอย่างไร แต่ช่วงนี้เป็นช่วงวาระอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ จึงขอเว้นวรรคไปสักอาทิตย์ เพื่อเห็นแก่พระเจ้า
ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของอเมริกันทั้งปวง ทุกคนมีรอยยิ้มให้กัน แม้รอยยิ้มนั้นจะไม่ค่อยสดใสนักก็ตาม ต่างตกแต่งบ้านเรือนด้วยไฟหลากสี แต่ที่ฮิตสุดคือสีเขียวและแดงอันเป็นสีประจำเทศกาลคริสต์มาส
บ้านไหนเป็นชาวยิวก็จะตกแต่งบ้านเรือนด้วยไฟสีน้ำเงินและสีขาว แล้วฉลองเทศกาลฮานุกก้า ซึ่งมีช่วงเฉลิมฉลองช่วงเดียวกับคริสต์มาส ต่างกันที่ว่าชาวยิวจะฉลองฮานุกก้าถึง 8 วัน ส่วนผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ ต่างก็เฉลิมฉลองวาระแห่งความสุขนี้ตามความเชื่อของตน ไม่ต้องถามว่าคนไทยฉลองคริสต์มาสด้วยไหม เพราะเรานั้นฉลองทุกเทศกาลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลชาติไหน
คริสต์มาสคือเทศกาลงานฉลองที่ยิ่งใหญ่ในบ้านลุงแซม ถือเป็นวันครอบครัวที่ทุกคนต้องมารวมตัวกันไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม ทุกคนต้องกลับบ้านเพื่อรับประทานอาหารมื้อใหญ่กับครอบครัว ร้านรวงห้างสรรพสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ตเกือบทั้งหมดจะปิดในวันที่ 25 ธันวาคม เพื่อให้คนทำงานได้กลับไปฉลองกับครอบครัว สายการบินบางสายงดบินบางเที่ยวบินในวันคริสต์มาสด้วย
อาหารประจำเทศกาลจานหลักได้แก่แฮม บางบ้านก็อบไก่งวง บางบ้านก็ไม่อบไก่งวง เพราะเพิ่งอบไก่งวงไปเมื่อวันฉลองขอบคุณพระเจ้า แต่เครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้คือ เอ้กน็อค ซึ่งเครื่องดื่มชนิดนี้คนไทยหลายคนอาจจะไม่ชอบ เพราะกึ่งคาวกึ่งหวานชอบกล เอ้กน็อคเป็นเครื่องดื่มอุ่นๆ ที่มีส่วนผสมของ ครีม นม ไข่ และน้ำตาล มาปั่นรวมกัน ก่อนเติมเหล้ารัมผสมลงไป รสจะออกหวานๆ เมาๆ หลายแก้วก็มึนเอาเรื่องเหมือนกัน
รัฐเพื่อนบ้านดิฉันอย่างมิชิแกนนั้นมีเมืองหนึ่งที่ขายของสวยๆ ที่ใช้ประดับประดาในเทศกาลคริสต์มาสตลอดปี พอถึงคริสต์มาสก็ฉลองยิ่งใหญ่ทุกปี แต่ยังมีอีกหลายเมืองในหลายรัฐที่จัดงานคริสต์มาสยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างสุดๆ นอกจากนิวยอร์กแล้ว ก็มีอีก 4-5 เมืองที่เปลี่ยนเมืองพื้นๆ แสนธรรมดาเป็นเมืองในฝันของอเมริกันชนด้วยธีมคริสต์มาส อย่างเมืองแม็คเอเดนวิลล์ในรัฐนอร์ธแคโรไลน่า
เมืองที่ว่านี้จะเปลี่ยนโฉมเป็นเมือง Christmas Town USA ทุกเดือนธันวาคมของทุกปี รอบหมู่บ้านมีการตกแต่งประดับไฟคริสต์มาสกว่า 450,000 หลอดไฟ มีต้นไม้ประดับไฟคริสต์มาสกว่า 375 ต้น วางเรียงรายตามถนนในตัวหมู่บ้าน ลองคิดดูเถอะว่าอลังการงานสร้างขนาดไหน ต้นคริสต์มาสเรียงรายริมทะเลสาบสะท้อนระยิบระยับในสายน้ำ แถมมีน้ำพุเริงระบำพวยพุ่งจากทะเลสาบให้ฮือฮากันอีกต่างหาก
ส่วนเมืองเล็กๆ อีกเมืองหนึ่งในรัฐเพนซิลเวเนียก็อลังการไม่แพ้กัน เมืองนั้นคือเมืองเบิร์นวิลล์ เพราะมีหมุ่บ้านคริสต์มาสที่เรียกว่า Koziar’s Christmas Village ถือเป็นหมู่บ้านคริสต์มาสที่เก่าแก่มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 มีการจำลองฉากต่างๆ เกี่ยวกับคริสต์มาสในรูปแบบสามมิติ มีกระท่อมของซานตาคลอสให้เด็กๆ เข้าไปถ่ายรูปกับซานตาคลอสและมีขนมแจกเด็กๆ ทุกคน
ขนมยอดนิยมวันคริสต์มาสในอเมริกาเป็นคุ้กกี้รูปคนที่เรียกจินเจอร์เบรด โรยน้ำตาลเขียวๆ แดงๆ หวานแสบไส้ บางบ้านก็แจกเค้กผลไม้ให้แก่กัน แต่เค้กผลไม้ของที่นี่ฉ่ำเหล้ารัมมากกว่าเค้กผลไม้ในไทย กินหลายๆ ชิ้นก็ยิ้มหวานกันทั่วหน้า
อีกเมืองที่เปลี่ยนเมืองเป็นธีมคริสต์มาสแบบพลิกโฉมคือเมืองอ็อคเดนในรัฐยูทาห์ พอเริ่มคริสต์มาสปุ๊บก็จะมีขบวนพาเหรดสวยงามโดยมีลุงซานตาคลอสนั่งหัวเราะโฮ่ะๆๆๆ ปิดท้ายขบวน ทั้งเมืองเปลี่ยนเป็นเมืองของซานตาคลอสโดยสมบุรณ์แบบ มีบ้าน 54 หลังคือ โรงงานของพวกเอลฟ์ บ้านของกรินท์ เจ้าตัวเขียวหน้าตาน่าเกลียดที่เกลียดคริสต์มาส รวมทั้งบ้านซานตาคลอสให้เข้าไปถ่ายรูปด้วย
เมืองที่เปลี่ยนโฉมรับคริสต์มาสยังมีอีก 2 เมืองคือ เนวาด้าซีตี้ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเปลี่ยนเมืองเป็นเมืองคริสต์มาสสุดเก๋ เพราะเป็นคริสต์มาสแนววินเทจย้อนยุคไปในสมัยยุควิคตอเรียคือเมื่อ 200 ปีที่แล้ว เมืองนี้สวยจัดและเหมาะสมเป็นเมืองคริสต์มาสที่สุด ทุกคนต่างขนานนามว่าเป็นเมืองที่สวยเหมือนหลุดออกมาจากการ์ดอวยพร ช่วงคริสต์มาส ทุกคนในเมืองแต่งกายย้อนยุคสุดคลาสสิค
ส่วนอีกเมืองหนึ่งคือที่เอลค์ฮาร์ทเลคในรัฐวิสคอนซิน ขึ้นชื่อว่าวิสคอนซินย่อมรับประกันความหนาวสุดขั้นได้ดี เมืองนี้จัดเทศกาลคริสต์มาสได้แปลกตาเพราะมีตลาดคริสต์มาสให้เลือกซื้อเลือกชม แต่เป็นตลาดแนวย้อนยุคที่นำต้นแบบมาจากตลาดคริสต์มาสในอดีตของเยอรมัน ดังนั้นสินค้าที่ส่วนมากที่ขายในงานจะเป็นสินค้าจากยุโรป เช่น ตุ๊กตาแม่ลูกดกจากรัสเซีย (Matryoshka doll) ผ้าขนสัตว์จากเอสโตเนีย (Estonia Woolens) แพนเค้กมันฝรั่ง (Potato pancakes) และไวน์ร้อน (Glühwein) ซึ่งนับว่าแปลกและไม่เหมือนใครในอเมริกา
สมัยก่อนในช่วงคืนก่อนคริสต์มาสจะมีกลุ่มชาวคริสต์มายืนร้องเพลงคริสต์มาสหน้าบ้านแต่ละหลัง แต่ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยเห็นแล้ว เพราะทางการเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ประเพณีนี้จึงหายไปอย่างน่าเสียดาย อย่างไรก็ตาม ความหมายที่แท้จริงของวันคริสต์มาสไม่ได้อยู่ที่งานรื่นเริงหรืออาหารการกินหลากหลาย หรือหมู่บ้านคริสต์มาสแสนสวยน่าไปเที่ยว แต่หัวใจของคริสต์มาสอยู่ที่น้ำใจเมตตาอารีระหว่างเพื่อนมนุษย์ในวาระอันประเสริฐเช่นนี้
ไม่ใช่แต่เพียงน้ำใจที่มีให้ระหว่างสมาชิกในครอบครัวเท่านั้น แต่จิตวิญญาณแห่งคริสตมาสคือการแบ่งปันน้ำใจให้ทุกคนในโลก ไม่เว้นแต่คนยากไร้ คนไร้บ้าน ผู้ขาดแคลน และผู้หิวโหยทั้งปวง การให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนต่อคนแปลกหน้าหรือให้ผู้ที่ต้องการความรักคือหัวใจของคริสต์มาสของทุกปี ขอให้ท่านผู้อ่านมีความสุขในวาระนี้ Merry Christmas ทุกท่านค่ะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี