ในอดีต...อย่างน้อยก็ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงได้กล่าวไว้ว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” ไม่ว่าศิลาจารึกนี้จะถูกสร้างขึ้นในสมัยใดก็ตาม แต่ก็เป็นข้อมูลยืนยันถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติได้ดี สมัยผมเป็นเด็กอาศัยอยู่ริมแม่น้ำท่าจีนก็ประจักษ์แก่ตาตัวเองมาแล้ว กุ้งก้ามกรามตัวโตๆหาไม่ยาก แค่ดำน้ำลงไปควานใต้ตอหรือซุ้มไม้ก็จับตัวขึ้นมาได้แล้ว ไม่มีเงินสักบาทก็ไม่อดตาย
ตอนที่ผมเรียนอยู่ในชั้นประถมต้น (พ.ศ.2505 - 2508) ในหนังสือเรียนบอกว่าประเทศไทยมีป่าไม้ 75 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ นอกจากนี้ก็ยังมีแม่น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง และแหล่งน้ำอื่นๆกระจายอยู่ทั่วประเทศ ล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งอาหารธรรมชาติของผู้คนทั้งนั้น
แต่ล่วงมาถึงยุคพัฒนาประเทศ นับแต่มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจในปี 2504 เป็นต้นมา ทรัพยากรธรรมชาติก็ลดน้อยถอยลงอย่างน่าใจหาย ขณะที่พลเมืองเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งแข่งกับการพัฒนาประเทศทางด้านวัตถุ
ผลของการพัฒนาก็คือประเทศไทยเหลือป่าไม้แค่กระแบะมือ ห้วย หนอง คลอง บึงและแหล่งน้ำอื่นๆล้วนแต่ตื้นเขินเสียส่วนมาก บ้างก็เป็นแหล่งรองรับน้ำเน่า บ้างก็ถูกถมเพื่อการก่อสร้าง ส่งผลกระทบถึงทางเดินของน้ำตามธรรมชาติ น้ำจึงท่วมในปีที่มีน้ำมาก ส่วนในปีที่มีน้ำน้อยก็ใช้ประโยชน์ได้ไม่มากนัก
แหล่งอาหารธรรมชาติก็แทบจะสูญสิ้นไปด้วย
ผู้คนในท้องถิ่นจึงต้องพึ่งตลาด และระบบตลาด
จะพึ่งตลาดได้ก็ต้องทำงานหาเงินไปซื้อของกินของใช้ในตลาด
จะทำงานหาเงินก็ต้อง “ขาย” ความรู้ความสามารถหรือขายแรง
ชีวิตเราทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตายจึงอยู่ในระบบตลาด
เราเป็นทั้งสินค้าและผู้ซื้อสินค้า
และดูเหมือนว่าเราจะไม่สามารถออกไปจากระบบตลาดได้
เราต่างก็ดิ้นรนขวนขวายร่ำเรียน แก่งแย่งแข่งขันกันทำงานหาเงิน “ซื้อๆขายๆ” จนเราไม่สงสัยอะไรอีกต่อไปว่า “เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตในชาติหนึ่งของเรา?”
ซ้ำกลับยอมรับ “วิถีชีวิตและวิธีการดำเนินชีวิต” ในระบบตลาดราวกับว่ามันเป็น “ธรรมชาติ” ของชีวิต อย่างเดียวกับอวัยวะต่างๆที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายของเรา
ในมุมมองของเศรษฐกิจ เราถูกขังอยู่ในคอกแห่งระบบตลาด
ในมุมมองของคุณค่าแห่งชีวิต เราได้สูญเสียธรรมชาติของชีวิตไป
ไม่ว่าจะในมุมมองไหน...เราต่างก็สูญเสียทรัพยกรธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์ เราต่างก็สูญเสียการพึ่งพาตนเอง เราต่างก็สูญเสียศักยภาพที่จะดำเนินชีวิตอยู่อย่างปรกติตามธรรมชาติ รวมทั้งสูญเสียศักยภาพที่จะพัฒนาตนขึ้นสู่ความสมบูรณ์ของชีวิต
ประการสำคัญ เราได้สูญเสียเวลาแห่งชีวิตไปกับการดิ้นรนขวนขวาย ไขว่คว้า แสวงหาวัตถุและเกียรติยศชื่อเสียงมาครอบครอง เพราะเราเชื่อมั่นว่ามันคือคุณค่าของชีวิต ทำให้ชีวิตเรามีความหมาย และได้รับการยกย่องสรรเสริญ หรือมีอำนาจเหนือคนอื่นๆ
ถ้าเราเป็นปลา...ก็ไม่ใช่ปลาในท้องน้ำ หากแต่เป็นปลาในกระชัง
ถ้าเราเป็นนก...ก็ไม่ใช่นกในท้องฟ้าและป่าดง หากแต่เป็นนกในกรง
เราเป็นมนุษย์...ทว่าเป็นมนุษย์ที่ขังตัวเองไว้ในคอกแห่งระบบตลาด
แม้เราจะสามารถเปิดประตูคอกได้ แต่เราก็ไม่ยอมเปิด เรากลัวที่จะก้าวออกไป และกลัวว่าจะมีสิ่งอื่นที่อันตรายจะเข้ามาในคอกอันคุ้นเคยของเรา ชั่วชีวิตเราจึงไม่ยอมออกไปไหน
เรามีคาถาปกป้องและให้กำลังใจตัวเองอยู่แล้วว่า “สู้ต่อไป” !
แล้วเราก็สู้ต่อไปจนเดี้ยง และชีวิตล้มหายตายจากไป
ซากศพของเราก็ถูกเผาอยู่ในคอกแห่งระบบตลาด
จิตวิญญาณเสรีของเราก็ไม่ได้โบบินไปไหน ยังวนเวียนอยู่ในคอกแห่งระบบตลาดเช่นกัน
ผมเองก็ไม่สามารถออกจากคอกแห่งระบบตลาดไปได้ แต่การได้เห็น “คอกนามธรรม ” ก็ช่วยให้รู้จักทางหนีทีไล่ของมันได้ และมีเวลาได้อยู่กับความเป็นอิสระจากคอกนามธรรมนั้นได้บ้าง
อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายในระบบตลาด “เป็นแค่เกม” เท่านั้น และเป็นเกมที่จำใจเล่น
ไม่หลงคิดว่ามันคือทั้งหมดของชีวิต หรือเป็นชีวิตเราทั้งหมด
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี