จากวันแรกที่ย้ายมาอยู่อเมริกาจนถึงวันนี้ร่วม 20 ปีแล้ว บอกตรงๆ ว่า สงครามโรคโควิด 19 เปิดเผยให้เห็น “เนื้อแท้” ของอเมริกันก็ช่วงนี้เอง เมื่อไวรัสระบาดไปทั่วโลก ผู้นำทุกชาติต่างปกป้องพลเมืองของตน หมอและพยาบาลทุกคนในโลกทำงานหนักมาก พยายามเอาชนะสงครามโรคแห่งมวลมนุษยชาติหนนี้ไปได้ เพื่อให้ทุกคนบนโลกกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง
จนถึงวันนี้ ไม่ว่าจะมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับใหม่ๆ ในการป้องกันโรคระบาด เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม หรือการใส่หน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้า แต่ดูเหมือนว่าอเมริกันชนจะโนสนโนแคร์ แถมเวลาเจ้าหน้าที่ ยาม หรือพนักงานตามห้างร้านขอร้องหรือไม่ยอมให้บริการหากลูกค้าไม่ใส่หน้ากาก ก็อาจจะได้กินยำตีนได้ไม่รู้ตัว เบาะๆ คือโดนกระทืบ หนักสุดคือโดนยิงตาย
ตอนนี้จำนวนคนป่วยในอเมริกาพุ่งสูงถึง 1,702,673 ราย และตายหลักแสน อาทิตย์นี้แตะแสนรายพอดี กระนั้นทั้งผู้นำและพลเมืองต่างก็ไม่นำพา ตาลุงผมเป๋โวยวายด่าทอทั้งพญามังกรและองค์การอนามัยโลกทุกวัน โทษโน่นโทษนี่รัวๆ แต่ไม่ยักดูตัวเอง เดือนก่อนก็พล่ามเรื่องฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อทีหนึ่งแล้ว อาทิตย์นี้เพ้อเจ้อไปเรื่อยว่า ตนนั้นกินยาไฮดร็อกซีคลอโรควิน (hydroxychloroquine) ซึ่งเป็นยารักษาโรคมาลาเรียทุกวัน มากว่าหนึ่งอาทิตย์แล้ว โดยตาลุงผมเป๋อวดอ้างว่า การทำแบบนี้สามารถป้องกันการโรคโควิด 19 ได้ชะงัดนักแล
ตาลุงผมเป๋ออกมาอ้างแบบนี้ไม่ใช่หนแรก แต่เป็นหนที่สอง เล่นเอาหมอในอเมริกาสะดุ้งโหยงกันเป็นแถว เพราะท่านผู้นำเล่นพูดจาไม่คิดหน้าคิดหลัง มีผลวิจัยออกมาชัดเจนว่า การกินยาตัวนี้ไม่ได้ช่วยป้องกันอะไรเลย ซ้ำองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ยังออกมาเตือนถึงอันตรายจากการใช้ยาชนิดนี้แบบผิดวัตถุประสงค์อีกด้วย
ดร.บ็อบ ลาฮิตา ประธานฝ่ายการแพทย์ประจำโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเซนต์โจเซฟในรัฐนิวเจอร์ซีย์ เตือนประชาชนว่าอย่าได้ทดลองกินไฮดร็อกซีคลอโรควินตามอย่างทรัมป์อย่างเด็ดขาด
จะว่าไปตาลุงนี่แกย้อนแย้งเป็นบ้า เพราะเกลียดกลัวเชื้อโรคยิ่งกว่าโอบาม่า แต่กลับไม่ยอมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยจนบัดนี้
ล่าสุดวารสารการแพทย์ Lancet มีการวิจัยระบุว่า จากการศึกษาอาการผู้ป่วยโควิด จำนวน 96,000 คน พบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาไฮดรอกซีคลอโรควิน (hydroxychloroquine) หรือคลอโรควิน (chloroquine) มีความเสี่ยงเสียชีวิตสูงกว่าคนไข้ที่ไม่ได้รับยาดังกล่าว
องค์การอาหารและยาของอเมริกาแนะนำว่าไฮดรอกซีคลอโรควินควรใช้เฉพาะคนไข้ที่รักษาตัวในโรงพยาบาลเท่านั้น เนื่องจากยานี้มีความเกี่ยวข้องกับภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
แต่เชื่อเถอะว่า สาวกทรัมป์เชื่อมั่นตาลุงอย่างหัวปักหัวปำจนพร้อมจะทำตามทุกอย่างที่ท่านผู้นำบอก ไม่ว่าจะฟังดูปัญญาอ่อนขนาดไหน เพราะเคยมีคนทำตามจนตายมาแล้วในรัฐแอริโซน่า นอกจากสาวกลุงทรัมป์แล้ว ผู้นำบราซิลก็บ้าจี้พอกัน เป็นลูกขุนพลอยพยักเห็นด้วยเป็นตุเป็นตะกับลุงทรัมป์ แล้วดูสิว่ายอดป่วยยอดตายในบราซิลตอนนี้เป็นยังไง พุ่งป็นอันดับสองรองจากอเมริกาเห็นภาพข่าวในบราซิลแล้วเศร้าใจเหลือเกิน แต่ที่เศร้ากว่าก็เห็นจะเป็นจิตสำนึกสึกหรอของฝูงอเมริกันนี่แหละ
อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่เป็นวันหยุดยาว เนื่องจากเป็นวันเมมโมเรียลเดย์ ซึ่งหากเป็นช่วงปกติ วันหยุดนี้ถือเป็นการเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างไม่เป็นทางการในอเมริกา ชาวบ้านชาวช่องจะเริ่มทำความสะอาดเตาปิ้งย่าง ตัดหญ้าในสนามให้เรี่ยมเร้แล้วโทรตามเพื่อนๆ มาฉลอง ส่วนมากแล้วก็ปิ้งฮอทดอก แฮมเบอร์เกอร์ ปิ้งย่างกันสำราญใจ แกล้มเบียร์ นอนผึ่งพุงในสนามหญ้าหลังบ้าน
บางกลุ่มก็ไปเที่ยวตามชายหาดต่างๆ แต่บางกลุ่มก็ไปทำความสะอาดสุสานแสดงความเคารพทหารที่เสียชีวิตในสงครามต่างๆ ที่อเมริกันขยันก่อ เพราะต้องการขายอาวุธ หลักใหญ่ใจความคือจะมีพิธีอย่างเป็นทางการที่สุสานอาร์ลิงตัน ชาวอเมริกันจะประดับธงชาติตามบ้านเรือนหรือรถของตนเพื่อแสดงความอาลัยต่อทหารผู้วายชนม์
ท่ามกลางสถานการณ์โควิด 19 แม้ผู้ว่าการรัฐต่างๆ จะออกมาตรการล็อคดาวน์โน่นนี่นั่น แต่ดูเหมือนว่ามะริกันจะไม่แคร์ เน้นหลักเสรีภาพมาก่อนสุขภาพ นอกจากไม่แคร์แล้วยังใช้ชีวิตตามปกติ โดยไม่คิดหน้าคิดหลังว่าตนเองจะได้รับเชื้อแบบไม่แสดงอาการ กลายเป็นพาหะแพร่เชื้อต่อไปให้สมาชิกในครอบครัวและคนในชุมชน
ผู้เขียนนั่งมองความเป็นไปในอเมริกาอย่างเศร้าใจ ดูเหมือนว่าตัวเลขหลักแสนของผู้เสียชีวิตเพราะโควิด 19 จะไม่สร้างจิตสำนึกต่อสังคมให้อเมริกันได้เลย เพราะทุกคนยังเรียกร้องรบเร้าให้เปิดเมืองเปิดรัฐ เพราะเบื่ออยู่บ้าน ขาดความอดทน อยากกลับไปใช้ชีวิตเหมือนที่เป็นมา โดยไม่แยแสว่าตนอาจกลายเป็นห่วงโซ่ในวงจรการแพร่ระบาด
วันเมมโมเรียล ซึ่งเป็นวันที่ระลึกถึงทหารที่เสียชีวิตในสงคราม หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สกลับตีพิมพ์รายชื่อผู้เสียชีวิตโควิด-19 แทน โดยพาดหัวว่า “They were not simply names on a list. They were us” คนเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายชื่อ แต่คือเราทั้งปวง แต่ละรายมีคำอธิบายรายละเอียด ที่เมื่ออ่านแล้วถึงกับน้ำตาคลอ เช่น ลูวีเนีย เฮนเดอร์สัน, วัย 44 ปีแห่งนิวยอร์ก แม่เลี้ยงเดี่ยวที่ภาคภูมิใจในตัวลูกทั้งสามมาเรียน ครูเกอร์ วัย 85 ปีแห่งรัฐวอชิงตัน คุณย่าอารมณ์ดี ไลลา เฟนวิค วัย 92 ปี เป็นผู้หญิงผิวดำคนแรกที่สำเร็จการศึกษาจากคณะกฎหมาย มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และโรมี โคห์นวัย 91 ปี ผู้ช่วยชีวิตครอบครัวชาวยิว 56 ครอบครัวจากพวกตำรวจลับเกสตาโป
ในขณะที่นิวยอร์กไทม์สตีพิมพ์รายชื่อเหล่านี้ ตาลุงผมเป๋ไปตีกอล์ฟสบายใจ และพลเมืองอเมริกันหลายร้อยคนแห่ร่วมงานพูลปาร์ตี้ที่ทะเลสาบโอซาร์คส์ในรัฐมิสซูรี และชายหาดเดย์โทนาในรัฐฟลอริดา แบบไม่แคร์ใดๆ ต่อมาตรการห้ามด้านความปลอดภัย ทั้งกอดรัดฟัดเหวี่ยงนัวเนีย และไม่มีการรักษาระยะห่างทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงการใส่หน้ากาก
การฝ่าฝืนมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสองรัฐที่ว่า หากแต่แพร่ไปทั่วประเทศแบบไม่แยแสอะไรทั้งนั้น อาทิตย์นี้เหมือนป่าช้าแตก ฝูงผีต่างโผเข้าหาเหล้า บาร์ และงานเลี้ยงรื่นเริงแบบช่างมันฉันไม่แคร์ ในขณะคนที่ป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงได้แต่ถอนใจ แต่ละวันผ่านไปได้อย่างลำบากเต็มที เนื่องจากอุปกรณ์ฆ่าเชื้อโรคทั้งเจลล้างมือ กระดาษเปียก น้ำยาฆ่าเชื้อโรค ยังขาดตลาดได้แต่อวยพรทั้งน้ำตา ว่า
“God Bless America”
..............................................................
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี