โดยปกติแล้ว ผู้เขียนจะเขียนบอกเล่าเรื่องราว ความเป็นไป และการเมืองที่น่าสนใจในอเมริกาทุกอาทิตย์ อาทิตย์ที่ผ่านมามีการดีเบตระหว่างกมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต กับรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ จากพรรครีพับริกัน แต่ด้วยเหตุที่วันที่ 13 ตุลาคมเวียนมาบรรจบครบรอบวันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จึงขอพักเรื่องการเมืองในอเมริกาไว้ก่อน แต่จะเขียนเล่าเรื่องราวของพระองค์ เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติของพระราชาผู้เป็นที่รักแทน
ย้อนหลังกลับไป 4 ปี เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 หกโมงเช้าของวันที่ 13 ตุลาคม ตามเวลาอเมริกาฝั่งตะวันออก เป็นวันที่จดจำไปชั่วชีวิต เพราะในขณะที่กำลังนอนหลับ มีสายโทรเข้าจากโปรแกรมไลน์ปลุก ตอนแรกรู้สึกโมโหที่โดนปลุกแต่เช้าตรู่ ซึ่งปกติแล้วไม่ค่อยมีใครโทรมาหาจากเมืองไทย ยังไม่ทันจะพูดอะไร เพื่อนผู้โทรมาเอ่ยเพียงสั้นๆว่า
“ในหลวง...”
จากนั้นก็สะอื้นไห้ราวจะขาดใจ ผู้เขียนตัวเย็นวาบ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นิ่งฟังเสียงสะอื้นของชายอกสามศอก แล้วน้ำตาก็ไหลพรูจนมองไม่เห็นอะไรเบื้องหน้า นอกจากวันที่พ่อแม่จากไป วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ร้องไห้มากที่สุดและยาวนานที่สุด พยายามจะไม่ร้องไห้ แต่น้ำตาไม่เคยหยุดไหล ตั้งแต่เกิดมาจนป่านนี้เพิ่งเข้าใจความหมายของคำว่า "หัวใจสลาย" อย่างแท้จริง
ผ่านวันไปอย่างมึนงงและโศกเศร้า คืนวันที่ 13 ตุลาคมตรงกับช่วงบ่ายวันที่ 14 ตุลาคมตามเวลาในประเทศไทย ผู้เขียนรอส่งเสด็จพระองค์สู่สวรรคาลัย เวลาในเมืองนั้นเกือบจะตีห้าแล้ว แต่ยังรอส่งเสด็จเป็นหนสุดท้าย เพื่อถวายความรักและภักดีข้ามทะเลนับพันไมล์ พร้อมกับคนไทยทุกคนบนแผ่นดินไทย
ลูกๆ ของพ่อแต่งชุดดำหลั่งไหลไป “ส่ง” พ่อด้วยความอาดูรพูนเทวษ ฟ้าหม่นครื้มราวอุ้มน้ำตาฟ้าไว้เต็มอก สองฝั่งถนนปราศจากเสียงตะโกน "ทรงพระเจริญ" มีแต่เสียงร้องไห้ของประชาชนที่มาส่ง "พ่อ" ดังมาถึงอเมริกา
ไม่ใช่เพียงคนไทยบนผืนแผ่นดินไทยเท่านั้นหรอกที่ทุกข์แสนสาหัส คนไทยทั่วทุกมุมโลกต่างก็สะอึกสะอื้นและเสียขวัญไม่แตกต่างกัน เมื่อสิ้นร่มโพธิสมภาร อันยึดเหนี่ยวหัวใจของเราไว้กับแผ่นดินเกิด แม้จะไม่สามารถกลับไปกราบสักการะพระบรมศพได้ที่เมืองไทย แต่ขอก้มกราบพ่อหลวง ด้วยดวงใจอันแหลกสลายจากแดนไกลก็ยังดี
ในหลวงคือศูนย์รวมดวงใจของคนไทยทั้งโลกอย่างแท้จริง เมื่อสิ้นพระองค์จึงเหมือนสายใยบางๆ ระหว่างบ้านแห่งที่สองกับแผ่นดินเกิดขาดสะบั้น เหมือนชิ้นส่วนหัวใจขาดหายและไม่มีวันเติมเต็มอีกต่อไป
คนไทยบางส่วนไปถวายความจงรักภักดีต่อในหลวง ที่จัตุรัสภูมิพลอดุลยเดช รัฐแมสซาชูเซตส์ บางคนก้มกราบกับพื้นดิน แล้วทรุดซบหน้าร้องไห้อยู่กับพื้นเป็นเวลานาน ด้วยความเศร้าท่วมท้นล้นหัวใจ ผู้เขียนเข้าใจความทุกข์นั้นอย่างที่สุด นี่คงที่สุดแล้วของความเศร้าทั้งมวล ไม่มีใครรู้หรอกว่าในใจคนไกลบ้านแต่ละคนนั้นโดดเดี่ยวขนาดไหน และความโดดเดี่ยวประเภทนี้เยียวยาไม่ได้ เพราะไม่มีที่ไหนเหมือนแผ่นดินเกิด
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าพระราชาผู้ทรงธรรมทรงมีพระประสูติกาลในอเมริกา ไม่ใช่สวิสเซอร์แลนด์ แต่พระองค์เสด็จพระราชสมภพในโรงพยาบาลเคมบริดจ์ ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น (Mount Auburn) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์
ก่อนหน้าจะทรงมีพระประสูติกาล สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกของรัชกาลที่ 9 นับเป็นพระราชนิกุลพระองค์แรกที่เสด็จฯ ไปศึกษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทรงเข้าศึกษาในชั้นเตรียมแพทย์ก่อนเป็นเวลา 1 ปี และลงทะเบียนเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 1 ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ดในปี พ.ศ. 2460
ระหว่างทรงศึกษาในอเมริกา พระโอรสพระองค์ที่สองมีประสูติกาลที่โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น (Mount Auburn) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ 2470 ภายใต้การดูแลของนายแพทย์ DR. W. STEWART WHITTEMORE เมื่อแรกพระบรมราชสมภพ รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระนามในสูติบัตรว่า “เบบี้สงขลา” (Baby Songkla) ซึ่งมาจากพระนามของสมเด็จพระบรมราชชนก ที่มีพระนามในต่างประเทศว่า Mr.Mahidol Songkla
หลังจากที่ทรงพระราชสมภพได้ไม่ถึง 3 ชั่วโมง สมเด็จพระบรมราชชนกทรงส่งโทรเลขถึงสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ว่า
"ลูกชายเกิดเช้าวันนี้ สบายดีทั้งสอง ขอพระราชทานนามทางโทรเลขด้วย"
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" ซึ่งแปลว่า "พลังแห่งแผ่นดิน"
ครอบครัวมหิดลประทับอยู่ที่นี่ช่วงปี พ.ศ. 2469-2471 ในอพาร์ตเมนต์เลขที่ 63, Longwood avenue, Brookline จนกระทั่งสมเด็จพระบรมราชชนกทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เมื่อ พ.ศ. 2471 ความสำคัญของอพาทเมนต์หลังนี้คือ “บ้าน” หลังแรกของรัชกาลที่ 9 ตั้งแต่แรกมีพระประสูติกาลจนถึงพระชนมายุ 9 เดือน จากนั้นครอบครัวมหิดลเสด็จนิวัติกลับประเทศไทย
ครอบครัวมหิดลเสด็จนิวัตประเทศไทยอย่างถาวร โดยประทับอยู่ ณ วังสระปทุม ต่อมาเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จสวรรคต ขณะที่ตอนนั้นในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระชนมายุยังไม่ถึง 2 พรรษา
ขอย้อนกลับมาที่โรงพยาบาลแห่งนั้น นอกจากภาพข่าวการเสด็จเยือนของพระองค์ในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2503 แล้ว ยังมีการพระราชทานของที่ระลึกให้ดร.วิทท์มอร์ และคณะนางพยาบาลโรงพยาบาลเมาท์ ออเบิร์น ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงอีก 4 ท่าน มีพระบรมฉายาลักษณ์ ที่ทรงพระราชทานให้เป็นที่ระลึกแก่โรงพยาบาลเมาท์ ออเบิร์น ประดิษฐานอยู่บนชั้นที่ 5 ของโรงพยาบาล มีแผ่นป้ายจารึกว่า
"โรงพยาบาล MOUNT AUBURN ตั้งใจที่จะน้อมรำลึกถึงพระมหากษัตริย์พระองค์เดียว ที่ทรงมีพระบรมราชสมภพบนแผ่นดินของประเทศสหรัฐอเมริกา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย ซึ่งทรงมีพระบรมราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยอยู่ในการดูแลของ D.R. W.STEWART WHITTEMORE"
ไม่ไกลจากโรงพยาบาล มีสถานที่เล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ในหัวใจคนไทยในอเมริกา นั่นคือ จัตุรัสภูมิพลอดุลยเดช (King Bhumibol Adulyadej of Thailand Square) ก่อตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงรัชกาลที่ 9 พระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในโลกที่ทรงมีพระบรมราชสมภพในสหรัฐอเมริกา นายกเทศมนตรีเมืองเคมบริดจ์ขอพระราชทานนามว่า "จัตุรัสภูมิพลอดุลยเดช" (King Bhumibol Adulyadej of Thailand Square) และพระองค์พระราชทานพระปรมาภิไธยย่อ ภปร มาประดับไว้บนจัตุรัส เพื่อเป็นเกียรติแก่เมืองเคมบริดจ์และโรงพยาบาลเมาท์ออเบิร์น
ณ ที่แห่งนี้เองที่คนไทยไกลบ้านหลายคนไปซบหน้าร่ำไห้ในวันนี้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ในห้วงยามเดียวกับคนไทยในประเทศไทยร้องไห้อาดูรถึงพระราชาผู้เป็นที่รัก
ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านเลยมากี่ปี เมื่อถึงวันที่ 13 ตุลาคม ผู้เขียนจะต้องนึกถึงช่วงเวลาที่ได้รับข่าวร้ายในยามเช้าตรู่ ที่ดูเหมือนว่าอากาศจะหนาวเหน็บที่สุดในชีวิต แม้จะโศกเศร้า แต่ปิติที่ได้เห็นกับตาตัวเองว่า คนไทยรักในหลวงรัชกาลที่ 9 มากแค่ไหน เพราะสิ่งที่ปรากฎไม่ใช่ผลพวงจากการโฆษณาชวนเชื่อ อย่างที่หลายกลุ่มกล่าวหาและบิดเบือน แต่นี่คือความรักอันบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่อย่างน่ามหัศจรรย์ที่คนไทยจำนวนมหาศาลทั้งในและนอกราชอาณาจักรไทยมอบให้พระองค์..
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี