นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร นั้น เป็นคนชั่ว เพราะเป็นคนขี้โกงและเป็นคนบาป
เรื่องขี้โกงไม่ต้องพูดก็เห็น เพราะทุกวันนี้ติดคุกในคดีทุจริตโกงชาติโกงแผ่นดินซึ่งศาลพิพากษาตัดสินแล้วและถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่สำนึกอีก ยังโกงต่อ ที่ว่าโกงต่อก็เนื่องจาก หลังจากหนีคดีไปแล้วกว่า 15 ปี พอกลับมาทั้งที่ประกาศว่าจะยอมติดคุกเพื่อจะออกไปเลี้ยงหลานในบั้นปลายชีวิต ก็เลี่ยงด้วยการที่สังคมเห็นความไม่ชอบมาพากลว่า มีข้าราชการของกรมราชทัณฑ์สมคบคิดกับแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจโดยมีนักการเมืองในระดับรัฐบาลรับรู้โดยอ้างว่านักโทษป่วยหนัก จึงอนุญาตให้ออกมารักษาตัวนอกเรือนจำได้ และวันนี้อยู่นอกเรือนจำเป็นวันที่ 115
นั่นก็โกงสองเด้งแล้ว อีกเด้งหนึ่ง ด้วยระเบียบของกรมราชทัณฑ์ที่กำหนดให้ใช้บ้านพักเป็น “เรือนจำเทียม” ได้ นี่ก็เป็นการโกงที่ฉ้อฉลอำนาจด้วยเสื้อคลุมของกฎหมายซึ่งมีข้าราชการและรัฐบาลช่วยกันสมคบคิด เพื่ออำนวยประโยชน์ให้แก่นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร โดยคาดว่าก่อนปีใหม่จะได้ออกไปอยู่บ้านโดยไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ จนครบกำหนดโทษ 1 ปี
ถามว่าถ้าคนไทยทั้งแผ่นดินประพฤติปฏิบัติเยี่ยง “ทักษิณ ชินวัตร” ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร อย่างนี้ก็คงไม่ต้องปกครองกันแล้ว บ้านเมืองไม่ต้องมีขื่อมีแป ใครใคร่โกงโกง และใครใคร่ทำชั่วทำ
ต้องดูกันต่อไปว่า ถึงที่สุดแล้วคนไทยส่วนใหญ่จะยอมต่อไปได้นานอีกแค่ไหน ที่เห็น“ทักษิณ ชินวัตร”กับพรรคพวกที่เป็นข้าทาสบริวารและโคตรเหง้าวงศ์ตระกูลใช้อำนาจบาตรใหญ่เหยียบย่ำกฎหมาย และใช้อภิสิทธิ์ในการอยู่ร่วมสังคมเดียวกันอย่างไม่เท่าเทียม
สำหรับเรื่องที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่านักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เป็นคน “บาป” นั้น ขอยกมาให้ดู 3 กรณีใหญ่ 1.สงครามปราบปรามยาเสพติด 2.เหตุการณ์ตากใบ และ 3.เหตุการณ์กรือเซะ-สะบ้าย้อย
กรณีแรกสงครามปราบปรามยาเสพติดในยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทยของทักษิณ ชินวัตร ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์-30 เมษายน 2546 นั้น ระยะเวลาสามเดือนของการปฏิบัติการ ที่ทักษิณประกาศตัวเป็นแม่ทัพในการทำสงครามแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” มีการใช้มาตรการรุนแรงในการปราบปรามผู้ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งด้วยการ “ฆ่าตัดตอน” และตำรวจวิสามัญฆาตกรรม ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 808 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่รวบรวมจากหนังสือพิมพ์รายวันฉบับต่างๆ ที่รายงานข่าวในช่วงสามเดือนของการปฏิบัติการ
ผู้เสียชีวิตจำนวน 808 รายดังกล่าว แยกเป็นผู้เสียชีวิตจากการถูกฆ่าตัดตอน 775 ราย และถูกตำรวจวิสามัญฆาตกรรม 33 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับผลสรุปของคตง.ที่มี ศ.ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุดเป็นประธาน โดยของ คตง.ระบุว่า เมื่อครบกำหนดสามเดือนของการทำสงครามปราบปรามยาเสพติดขั้นแตกหักระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์-30 เมษายน 2546 มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น 2,604 คดี และมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 2,873 ราย โดยในจำนวนนี้แยกเป็นคดีวิสามัญฆาตกรรม 45 คดี มีผู้เสียชีวิต 54 ราย
การทำสงครามปราบปรามยาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาลไทยรักไทย ที่มี “ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นแม่ทัพนี้ จากรายงานการศึกษาสอบสวนเรื่อง “ปัญหาและผลกระทบการดำเนินตามนโยบายประกาศสงครามขั้นแตกหักเพื่อเอาชนะยาเสพติด” โดยคณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ซึ่งมี ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นประธานกรรมาธิการ (สิงหาคม, 2546) ระบุว่า การสั่งการ มอบหมาย และชี้แจงนโยบายของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร มีลักษณะชี้นำ ปลุกเร้า และกดดันให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานใช้ความรุนแรงนอกระบบกฎหมายเข้าจัดการกับปัญหา อีกทั้งมีการใช้วาทกรรมและพิธีกรรมที่ยั่วยุให้เกิดการใช้ความรุนแรงในสังคม
เช่นว่า “สำหรับคนที่ค้า ท่านต้องใช้ “iron fist” หรือกำปั้นเหล็ก ใช้ความเด็ดขาดอย่างชนิดไม่ต้องปรานี พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เคยกล่าวไว้ว่า ภายใต้ดวงอาทิตย์ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรื่องยาเสพติดผมมั่นใจว่าตำรวจไทยจัดการได้” ซึ่งคำประกาศนี้ “ทักษิณ ชินวัตร” ได้กล่าวระหว่างการประชุมมอบหมายนโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2546 และอีกข้อความหนึ่งในโอกาสเดียวกัน “ที่อยู่ของขบวนการค้ายาเสพติดมีสองที่คือถ้าไม่ไปคุก ก็ไปวัด”
ในเวลาต่อมามีคณะกรรมการตรวจสอบอิสระหลายคณะที่ถูกตั้งขึ้นมาหลังสิ้นสุดรัฐบาลพรรคไทยรักไทยของทักษิณ ชินวัตร ในปี 2549 ได้สรุปตรงกันว่า นโยบายปรามปรามยาเสพติดของทักษิณ ส่งผลทำให้มีคนเสียชีวิตไปเกือบ 3 พันราย ถือว่าเป็นการละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นการละเมิดต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ.1948 (พ.ศ. 2491) เข้าข่ายความผิดที่เป็น “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถดำเนินการเอาผิดด้วยการยื่นฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศได้ ทั้งนี้ ก็เนื่องจากประเทศไทยยังไม่ได้ให้สัตยาบรรณกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ จึงไม่ได้เป็นประเทศภาคีสมาชิก
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงทำให้ “ทักษิณ ชินวัตร” คนบาปที่มือเปื้อนเลือดจากสงครามปราบปรามยาเสพติดลอยนวลอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้
อีกสองกรณีเหตุเกิดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ปัญหา “ไฟใต้” ยืดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้ คือ กรณีตากใบ ซึ่งเกิดขึ้นที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 เป็นเหตุให้คนไทยมุสลิมเสียชีวิต 85 ราย ในจำนวนนี้ 78 ราย เสียชีวิตแบบตายทั้งเป็นเพราะขาดอากาศหายในจากการถูกมัดมือและจับคว่ำหน้าเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ บนรถ ระหว่างเคลื่อนย้ายจากอำเภอตากใบไปควบคุมตัวที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ระยะทาง 160 กิโลเมตร
กรณีที่สอง คือ เหตุการณ์“กรือเซะ-สะบ้าย้อย” เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 มีคนไทยมุสลิมเสียชีวิต107 ราย โดยถูกล้อมปราบด้วยอาวุธสงครามในมัสยิดกรือเซะ อำเภอกรือเซะ จังหวัดปัตตานี เสียชีวิต 32 ราย และที่อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ในวันเดียวกันอีก 19 ราย ซึ่งน่าสลดใจก็เพราะผู้เสียชีวิตในจำนวนนี้มีถึง 16 คน เป็นนักฟุตบอลทีมเยาวชนตำบลธารคีรี อำเภอสะบ้าย้อย ส่วนอีก 56 ราย เสียชีวิตในวันเดียวกันจากการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารอีกหลายจุด ในเขตพื้นที่จังหวัดปัตตานีและยะลา
วันนี้ คนขี้โกงและคนบาปที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”ได้กลับมามีอำนาจเหนือแผ่นดินไทยอีกครั้ง !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี